
สัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาสามารถสงบศึกการค้ากับจีนได้ชั่วคราว โดยระงับการเก็บภาษีร่วมกันที่อัตรา -115% ออกไปอย่างน้อย 90 วัน เพื่อหาข้อตกลงใหม่สำหรับแก้ปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Tariff and Non-tariff Barriers) รวมถึงสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าอย่างเป็นทางการกับสหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรก ทั้งนี้การลงทุนครึ่งปีหลัง 2025 ยังคงเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรมี Global bond ในพอร์ตลงทุนเนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับทั่วโลกอาจยังคงขั้นต่ำไว้ที่ 10% และทำให้ภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวในปีนี้ ซึ่งจะนำไปสู่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงและเป็นผลบวกต่อการลงทุนใน Global bond ต่อไป
โดยสหรัฐฯ เปิดเผยหลังจากบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักรว่าอัตราภาษีนำเข้าที่ 10% จะเป็นขั้นต่ำที่เก็บกับประเทศที่เข้าเจรจา ดังนั้นการเก็บภาษีนำเข้ายังคงเป็นแรงกดดันหนึ่งที่ทำให้มูลค่าการค้าทั่วโลกลดลง จึงทำให้ปัจจุบัน IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ทั่วโลก จาก +3.3% สู่ +2.8% YoY ในการประมาณการเดือน เม.ย. ทั้งจากแนวโน้มกำไรของธุรกิจที่ลดลงจากต้นทุนภาคธุรกิจที่อาจสูงขึ้นหากมีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ และการชะลอการลงทุนจากภาคเอกชนในระหว่างที่แต่ละประเทศกำลังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ดังนั้นจึงยังมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะผันผวนได้เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสองออกมาแย่ลงจากผลของภาษีนำเข้า
และเมื่อเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ประกอบกับหลายประเทศสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ตามเป้าหมายแล้วจะเป็นแรงสนับสนุนให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2025 ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 0.75%, อังกฤษ (BoE) ลดลงมา 0.5%, จีน (PBoC) เริ่มลดดอกเบี้ยอ้างอิง (Repo) อีก 0.1% รวมถึงอินเดียที่เพิ่งเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 6 ปี อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด (Yield-to-maturity) ของดัชนี Global bond ในปัจจุบันยังคงอยู่ที่ 3.6% ซึ่งยังมีความน่าสนใจลงทุนเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ไทยที่ปัจจุบันพันธบัตรไทยอายุ 10 ปีที่ 1.88% กว่าเท่าตัว และยังคาดหวังส่วนต่างราคาได้หากดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ ยังปรับลดลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ อาจยังมีความกังวลด้านเงินเฟ้ออยู่บ้างจากผลของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าทั่วโลกที่ส่งผลต่อราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ของทิสโก้ (TISCOESU) คาดว่าอัตราภาษีนำเข้าประมาณ 10 – 15% จะทำให้ดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคลของสหรัฐฯ ไม่รวมอาหารและพลังงาน (Core PCE) ปี 2025 เพิ่มขึ้นไปที่ 3.5 – 4.0% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายระยะยาว 2% ของ Fed พอสมควร สหรัฐฯ จึงอาจเป็นประเทศที่ดอกเบี้ยนโยบายลดลงช้ากว่าประเทศอื่น ดังนั้นการเลือกลงทุนใน Global bond นอกจากที่จะสามารถคาดหวังผลตอบแทนจากทั้งอัตราดอกเบี้ย และส่วนต่างราคาจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก ยังช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยเฉพาะตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้หากเกิดสถานการณ์การค้าโลกเลวร้ายลงจนส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะหดตัว (Recession) การลงทุนใน Global bond ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอช่วงระหว่างก่อนและหลังเกิด Recession ไปแล้ว 6 เดือน โดย 30 ปีที่ผ่านมาดัชนี Global Bond ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6 เดือนก่อน Recession ราว 5% และ 6 เดือนหลัง Recession ราว 3% รวม 12 เดือนเฉลี่ย 8% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนระยะยาวของดัชนี Global bond ที่ให้ผลตอบแทนปีละ 3.3% กว่า 2 เท่า ดังนั้นการกระจายลงทุนไปยัง Global bond ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงของพอร์ตลงทุนขณะที่สินทรัพย์อื่นอาจติดลบหรือผันผวนรุนแรง ดังที่เกิดความกังวลเศรษฐกิจขึ้นในช่วงต้นเดือน เม.ย. หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศวัน Liberation day ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงภายใน 3 วันทำการมากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 11 ที่ -10.7%
โดยสรุปแล้วการลงทุนใน Global bond ยังเป็นสินทรัพย์ที่ควรมีอยู่ในพอร์ตการลงทุน เพราะนอกจากอัตราดอกเบี้ยของ Global bond ในปัจจุบันที่ยังสูงกว่าตราสารหนี้ในไทยอย่างมาก ยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มหากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเป็นขาลง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงการลงทุนจากผลของการเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเป็น 10% และข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ในอนาคตที่ยังไม่ชัดเจนมากนัก ซึ่งอาจส่งผลต่อการปรับขึ้นของเงินเฟ้อในสหรัฐฯ รวมถึงทำให้เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวและการเกิด Recession ในอนาคตอีกด้วย
แผนภาพ: ผลตอบแทนรวมของดัชนี Global bond ทั่วโลกช่วงก่อนและหลัง 6 เดือน ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิด Recession

Source: Bloomberg, TISCO Wealth Advisory
บทความโดย ศิวกร ทองหล่อ CFP®
Wealth Manager