3 ข้อต้องรู้ ก่อนซื้อกองทุนตราสารหนี้

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1692771929738

    นับตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวเป็นขาขึ้นอย่างรวดเร็วแตะระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ อันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก จนทำให้ “ตราสารหนี้” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ กลับมาให้ผลตอบแทนสูงจนเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนแบบ “Low Risk High Return” ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะถดถอย (Recession) ในระยะข้างหน้า นักลงทุนควรมีวิธีเลือกกองทุนตราสารหนี้อย่างไร เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและจำกัดความเสี่ยงในการลงทุน ทาง TISCO Wealth มีหลักการคัดเลือกกองทุนตราสารหนี้ 3 ข้อง่าย ๆ ดังนี้

    1. Credit rating หรืออันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ที่กองทุนนั้น ๆ ลงทุนอยู่ ซึ่งโดยปกติกองทุนตราสารหนี้มักมีการกระจายสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หรือตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง แต่ในภาพใหญ่เราสามารถแบ่งตราสารหนี้ออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ

        1.1 กลุ่ม Investment grade (IG) ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ระหว่าง AAA ถึง BBB- โดยตราสารหนี้กลุ่มนี้มักจะเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง อันเนื่องมาจากฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ที่สูงของผู้ออกตราสาร ทำให้มีความเสี่ยงในการลงทุนค่อนข้างน้อย

        1.2 กลุ่ม High yield (HY) ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือระหว่าง BB+ ไปจนถึงระดับต่ำสุดที่ D ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ออกตราสารหนี้มีฐานะการเงินอ่อนแอและมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ (Default) ที่มากกว่ากลุ่ม IG ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับกลุ่ม IG อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้กลุ่ม HY มักจะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ากลุ่ม IG เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงกว่าเช่นเดียวกัน

    จากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 2000 การลงทุนในตราสารหนี้กลุ่ม IG มักให้ผลตอบแทนชนะกลุ่ม HY ในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ช่วงวิกฤต Dot-com ปี 2000 วิกฤต Subprime ปี 2008 และวิกฤต COVID-19 ปี 2020 ที่ตราสารหนี้กลุ่ม IG สร้างผลตอบแทนได้ +5.31% +7.09% และ +1.24% ตามลำดับ ในขณะที่ ตราสารหนี้กลุ่ม HY ติดลบ -4.47% -2.57% และ -11.15% ในช่วงเวลาเดียวกัน

    2. Yield to maturity หรืออัตราผลตอบแทนที่คำนวณถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนตราสารหนี้ เนื่องจากกองทุนตราสารหนี้มักมีการลงทุนตราสารหนี้หลากหลายประเภท ซึ่งมีอายุและอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน ดังนั้น Yield to maturity จึงเป็นตัวเลขที่สะท้อนผลตอบแทนที่แท้จริงในภาพรวมของกองทุนตราสารหนี้ ที่นักลงทุนใช้เปรียบเทียบและคัดเลือกกองทุน

    ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยของประเทศกลุ่มพัฒนาแล้วทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป และสหราชอาณาจักร ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของไทย นักลงทุนจึงควรเน้นการลงทุนประเภท “Global Bond” ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลกที่กระจายการลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยปัจจุบันกองทุนประเภท Global Bond มี Yield to maturity โดยเฉลี่ยที่สูงถึง 5%-6% เทียบกับกองทุนตราสารหนี้ของไทย ซึ่งมี Yield to maturity โดยเฉลี่ยที่ต่ำเพียงแค่ราว 2%-3% เท่านั้น

    3. Duration หรืออายุเฉลี่ยของตราสารที่กองทุนนั้น ๆ ถือลงทุนอยู่ ซึ่งโดยทั่วไป หากตราสารหนี้ที่กองทุนถือลงทุนมีอายุคงเหลือโดยเฉลี่ยที่ยาว กองทุนนั้นก็จะมีค่า Duration ที่สูง และทำให้ราคาของกองทุนตราสารหนี้มักจะมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่มาก

    แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ และมีแนวโน้มกลับมาอยู่ในทิศทางขาลงในอนาคต ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง นักลงทุนจึงควรเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีค่า Duration สูง เพื่อโอกาสในการรับส่วนต่างกำไร (Capital gain) เพราะราคาตราสารหนี้มักจะปรับตัวขึ้นสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง นอกจากนี้ ราคาของตราสารหนี้ที่มีค่า Duration สูง มักจะสร้าง Capital gain ได้มากกว่าตราสารหนี้ที่ Duration ต่ำ เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง

    เรามองว่าการเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี และจำกัดความเสี่ยงในช่วง Recession ควรเลือกกองทุนประเภท “Global bond” ที่มี Credit rating โดยรวมอยู่ในระดับ Investment grade (IG) ขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ และมี Yield to maturity ที่สูงเกิน 5% เพื่อรับผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ของไทย ตลอดจน มีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Duration) สูง 5 ปีขึ้นไป เพื่อรับส่วนต่างกำไรในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่จะกลับมาเป็นขาลงในอนาคต

บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™

Wealth manager ธนาคารทิสโก้

เผยแพร่ครั้งแรกที่ Facebook : TNN Wealth

บทความล่าสุด

ปรับพอร์ตลงทุน สู้ศึกครึ่งปีหลัง 2025

เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังปี 2025 สถานการณ์การลงทุนทั่วโลกยังคงเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากความไม่แน่นอนในการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯกับคู่ค้า รวมถึงสงครามในตะวันออกกลางที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้การคาดเดาทิศทางเศรษฐกิจและจับจังหวะตลาดเป็นเรื่องที่ยาก

อ่านต่อ >>

เลือกประกันโรคร้ายแรงให้รอดจากค่าใช้จ่ายอัลไซเมอร์ 

เมื่อพูดถึงเหตุผลของการมีประกันโรคร้ายแรงเพื่อคุ้มครองค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสุขภาพ เรามักจะคิดถึงโรคที่มีผลร้ายแรงแบบเฉียบพลันจนถึงแก่ชีวิต หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, ทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มโรคข้างต้นทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เมื่อปี 2021 พบสาเหตุของการเสียชีวิตด้วยโรค NCDs กว่า 80%

อ่านต่อ >>

Super Stocks ปลดล็อกพอร์ตลงทุน ข้ามวัฏจักรเศรษฐกิจ

ในโลกการลงทุนที่ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรงจนกลายเป็น “New Normal” นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่มยกธงขาวยอมแพ้และยอมรับว่า การพยายามจับจังหวะตลาดหรือคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจ อาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีกลยุทธ์การลงทุนหนึ่งที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง ซึ่งได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว โดยไม่ต้องจับจังหวะตลาดหรือปรับพอร์ตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ คือ การลงทุนในหุ้นที่เรียกว่า “Super Stocks

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตลงทุน สู้ศึกครึ่งปีหลัง 2025

เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังปี 2025 สถานการณ์การลงทุนทั่วโลกยังคงเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากความไม่แน่นอนในการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯกับคู่ค้า รวมถึงสงครามในตะวันออกกลางที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้การคาดเดาทิศทางเศรษฐกิจและจับจังหวะตลาดเป็นเรื่องที่ยาก

อ่านต่อ >>

เลือกประกันโรคร้ายแรงให้รอดจากค่าใช้จ่ายอัลไซเมอร์ 

เมื่อพูดถึงเหตุผลของการมีประกันโรคร้ายแรงเพื่อคุ้มครองค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสุขภาพ เรามักจะคิดถึงโรคที่มีผลร้ายแรงแบบเฉียบพลันจนถึงแก่ชีวิต หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, ทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มโรคข้างต้นทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เมื่อปี 2021 พบสาเหตุของการเสียชีวิตด้วยโรค NCDs กว่า 80%

อ่านต่อ >>

Super Stocks ปลดล็อกพอร์ตลงทุน ข้ามวัฏจักรเศรษฐกิจ

ในโลกการลงทุนที่ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรงจนกลายเป็น “New Normal” นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่มยกธงขาวยอมแพ้และยอมรับว่า การพยายามจับจังหวะตลาดหรือคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจ อาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีกลยุทธ์การลงทุนหนึ่งที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง ซึ่งได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว โดยไม่ต้องจับจังหวะตลาดหรือปรับพอร์ตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ คือ การลงทุนในหุ้นที่เรียกว่า “Super Stocks

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า