เพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้นสุขภาพ รับประโยชน์ช่วงเศรษฐกิจถดถอย

file

    ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งจนลบภาพความกังวลจากการเทขายสินทรัพย์ทั้งหุ้นและตราสารหนี้เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกอย่างรวดเร็วในปี 2022 ไป แม้ว่าในปี 2023 สถานการณ์เริ่มดีขึ้นจากภาพการชะลอขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลก แต่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังยืนยันที่จะคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงไปตลอดทั้งปี 2023 ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปเริ่มชะลอตัวลงแต่เงินเฟ้อพื้นฐานที่เป็นตัวชี้วัดของธนาคารกลางยังดูมีความหนืดในการปรับตัวลงและยังคงอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายระยะยาวของธนาคารกลาง

    การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นโลกโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเข้ามาของกระแสเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ส่งผลในปี 2023 ให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นมาราว 17% อยู่ที่บริเวณ 4,500 จุด ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดในช่วงปี 2021 ที่เป็นช่วงดอกเบี้ยนโยบายและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำแค่เพียง 4% นอกจากนี้ นักลงทุนยังมองข้ามความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยดูจากจากข้อมูล Fear and Greed index ของ CNN.com ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 83 นับว่าเป็นระดับ Extreme greed  และเมื่อมองย้อนกลับไปยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าในช่วงปี 2021-2022 สิ่งเหล่านี้สามารถสะท้อนมุมมองในแง่ดีมากเกินไปต่อภาวะการลงทุนของนักลงทุนในปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงอยู่ในระดับสูงประกอบกับความเข้มงวดในการปล่อยกู้ของธนาคารที่เข้มงวดมากขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) มากขึ้นและมีโอกาสกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ขณะที่ข้อมูลในอดีตมีโอกาสที่กำไรบริษัทจดทะเบียนจะถูกปรับลดลงราว 10-15% ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ทาง TISCO Wealth Advisory มองว่า การลงทุนในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้านักลงทุนควรเตรียมปรับพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในสถานะตั้งรับมากขึ้นและเน้นเสริมความแข็งแกร่งให้กับสินทรัพย์ลงทุนเพื่อรับมือภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

    โดย TISCO Wealth Advisory มองสินทรัพย์ใน 2 ธีมการลงทุนที่นักลงทุนความจะมีติดพอร์ตไว้เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ได้แก่

    1. ธีม high quality income : เน้นการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก หลังดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบทศวรรษ ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯและยุโรปที่เคยขึ้นดอกเบี้ยรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ กลายเป็นสินทรัพย์มีความน่าสนใจมากขึ้น ขณะเดียวกันเปิดโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital gain) ในช่วงที่มีการปรับลดดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้ความสัมพันธ์(Correlation) ระหว่างราคาหุ้นกับพันธบัตรที่กลับมาเป็นลบแสดงให้เห็นว่าตราสารหนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นได้ โดย TISCO ESU มองว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีสหรัฐฯที่ระดับ 3.8% มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ราว 9-16% ในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวลง

    2. ธีม Laggard play : อุตสาหกรรมสุขภาพ(Healthcare) เป็นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะที่เศรษฐกิจและเป็นหนึ่งในธีมเมกะเทรนด์(Megatrend) สำหรับการลงทุนที่ได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของสังคมผู้สูงวัยในระยะยาวและยังเป็นธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้ธุรกิจถูกกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจจำกัด อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นมาน้อย(Laggard) เมื่อเทียบกับหุ้นเติบโต ขณะที่มีระดับ Valuation ค่อนข้างถูกที่ 16.5x เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก(MSCI ACWI) ที่ราว 18x

    ทาง TISCO Wealth Advisory มองว่าธีมการลงทุน 2 แบบ ทั้งธีม high quality income ในตราสารหนี้ทั่วโลก และธีม Laggard play ในอุตสาหกรรมสุขภาพ (Healthcare) เป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนเพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจรวมถึงช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในช่วงข้างหน้าได้

บทความโดย ยศรวี จงแสงทอง AFPT™

Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

เผยแพร่ครั้งแรก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

บทความล่าสุด

กิจกรรม M&A กำลังจะกลับมา กลุ่ม Biotechnology ได้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์เมื่อ 4 พฤษภาคม 2567

นอกจากนวัตกรรมการค้นคว้ายาชนิดใหม่รวมถึงการนำเทคโนโลยีอย่าง AI เข้ามาช่วยในการวิจัยยารักษาโรคหายาก กิจกรรมการควบรวมกิจการ หรือ M&A ก็นับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญต่อราคาหุ้นของกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)

อ่านต่อ >>

FDA อนุมัติยาสูงสุดในรอบ 5 ปี โอกาสทองลงทุน Biotech

โพสต์เมื่อ 4 พฤษภาคม 2567

FDA สหรัฐฯ กลับมาอนุมัติยาสูงสุดในรอบ 5 ปี ( FDA คือ องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ) โดยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนยาที่ได้รับอนุมัติจาก FDA เพิ่มขึ้นถึง 100% โดยเฉพาะปี 2023 ที่ FDA มีการอนุมัติยาสูงสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ 55 รายการ

อ่านต่อ >>

Biotech หุ้นนวัตกรรมยายุคใหม่ ที่ต้องมีไว้ในพอร์ต

โพสต์เมื่อ 4 พฤษภาคม 2567

หากนึกถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare นักลงทุนส่วนใหญ่มักนึกถึงบริษัทยาขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงแต่มีการเติบโตที่ช้า ทำให้นักลงทุนมักเหมารวมหุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงและเป็นเพียงแค่หลุมหลบภัยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเท่านั้น

อ่านต่อ >>