ตราสารหนี้ ถึงเวลาต้องมีในพอร์ต

file

การลงทุนในปีนี้ นับว่ามีความท้าทายเป็นอย่างมากจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ เพื่อควบคุมความร้อนแรงของเงินเฟ้อ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง ภายใต้สถานการณ์นี้ การลงทุนในหุ้นยังคงมีความผันผวนสูง แต่สำหรับตราสารหนี้ เรามองว่า นี่คือโอกาสในการลงทุน

ผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) เป็นสิ่งที่สะท้อนความคาดหวังของตลาดที่มีต่อแนวโน้มการปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง โดยล่าสุด Fed มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 3.00 - 3.25% นอกจากนั้นตลาด (Dot Plot) คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงระดับสูงสุด (Terminal Rate ) ที่่ 4.75% ในช่วงต้นปีหน้า แต่หากมองที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะพบว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ล่าสุดปรับตัวขึ้นไปที่ระดับประมาณ 4.5% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 4% นั่นแปลว่า Bond Yield ในระดับปัจจุบันได้สะท้อนความคาดหวังของตลาดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปพอสมควรแล้ว และมีโอกาสที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับตัวลงในปีหน้าตามอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่า จะเริ่มชะลอตัวลงหลังจากขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 9.1% เมื่อเดือนพฤษภาคม และปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดอยู่ที่ระดับ 8.2% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

หากพิจารณาจากระดับผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ขึ้นแซงดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วและแนวโน้มที่จะย่อตัวลงในระยะข้างหน้า ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงนี้กลับมาน่าสนใจ เนื่องจากโดยปกติผลตอบแทนของตราสารหนี้จะแปรผกผันกับราคาของตราสารหนี้ นั่นหมายความว่า หากลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนเริ่มปรับตัวลง จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในแง่ส่วนต่างของราคาที่เกิดขึ้น นอกจากนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ที่อัตราผลตอบแทนที่ 4% นี้ เท่ากับเป็นการล็อคผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ระดับ 4% ด้วยเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในตราสารหนี้ยังมีส่วนช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้ด้วย เนื่องจากมีผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ซึ่งหากลงทุนในรูปแบบกองทุนตราสารหนี้ก็จะมีความสม่ำเสมอในแง่กระแสเงินสด

โดยตราสารหนี้ที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี และมีอายุของตราสารในระดับปานกลางถึงยาว ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่จะปรับตัวลงในระยะข้างหน้า

แผนภาพที่ 1: US10Y มีแนวโน้มจะปรับตัวลงในระยะข้างหน้าหลังผ่านจุดสูงสุดที่ 4%

file

Bloomberg, TISCO Economic Strategy Unit (ESU)

 

======================

 

บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ Financial Planning ของ กรุงเทพธุรกิจ

บทความล่าสุด

หุ้นกลุ่ม Healthcare ทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีหุ้นโลก

โพสต์เมื่อ 26 เมษายน 2567

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะสูงกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare จะกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีตลาดหุ้นโลก

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตสร้างกำไร ขายหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เบนเข็มลงทุน “หุ้น Asia ex Japan”

โพสต์เมื่อ 26 เมษายน 2567

ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตดีกว่าคาด โดยภูมิภาคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และยังเป็นปีแห่งโอกาส

อ่านต่อ >>

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 26 เมษายน 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>