วิกฤตขาดแคลน “ชิป” ท่ามกลางไวรัสระบาด ใครคือผู้ได้ประโยชน์ ???

file

ในช่วงที่ผ่านมา อุตสาหกรรม Semiconductor หรือ ชิป ได้เติบโตอย่างรวดเร็วตามทิศทางเดียวกับเทคโนโลยี ทว่าปัญหาใหญ่ก็ได้เกิดขึ้น!! เพราะแม้จะเดินเครื่องจักรเต็มกำลัง แต่ก็ยังผลิตชิปได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนทำให้เข้าสู่ภาวะ “ขาดแคลน” ทำไมจึงเกิดเรื่องนี้ และใครคือผู้ได้ประโยชน์ ?

หลังจากโลกได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล อุตสาหกรรม Semiconductor หรือ ชิป ก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก็ยิ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่เร่งให้ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภท IoT เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สินค้าที่ใช้ในครัวเรือนอย่างเครื่องซักผ้า สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ ที่คาดว่าจะใช้ชิปสูงถึง 10,000 ชิ้น เมื่อเทียบกับรถยนต์ในปัจจุบันที่ใช้ชิปเพียง 3,000 ชิ้น 

อีกทั้งอุปกรณ์มาตรฐานอย่างสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณ 5G นั้นยังมีความต้องการชิปเพิ่มขึ้นจากรุ่น 4G ถึง 30% นอกจากนี้การเติบโตของอุตสาหกรรมการแพทย์, Cloud Computing, Esports และการขุดเหมือง Cryptocurrency ล้วนแล้วแต่ทำให้ความต้องการชิปเพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าในปี 2021 จะมีการเติบโตของยอดขายสูงถึง 19.7% แตะระดับ  5.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

แม้แนวโน้มความต้องการชิปดูจะไปได้สวย แต่สำหรับอุปทานของการผลิตชิปนั้น กลับต้องเจอปัญหาสำคัญ !!!

เจาะปัญหาขาดแคลน “ชิป”

ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตชิป ได้รับผลกระทบก็คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้โรงงานต้องหยุดการผลิตลง รวมถึงอีกประเด็นหนึ่งก็คือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน 

ดังนั้นถึงแม้ในปัจจุบันโรงงานผู้ผลิตชิปทั่วโลกกำลังเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต ที่ 1 ล้านล้านชิ้นต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น และแม้จะมีการขยายโรงงาน แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาในการขยายเฉลี่ยสูงถึง 3 ปี  ทำให้โลกกำลังเข้าสู่วิกฤตการขาดแคลนชิป และคาดว่าการขาดแคลนจะดำเนินไปจนถึงปี 2023 ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาของชิปเพิ่มสูงขึ้น 

ใครคือผู้ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ? 

ความต้องการที่เกินกว่ากำลังการผลิต ได้ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรม Semiconductor ได้รับประโยชน์ทางตรง โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 ประเภท คือ   

1.บริษัทผู้ออกแบบชิป (Fabless) เช่น Nvidia, AMD และ Apple บริษัทเหล่านี้จะเป็นผู้ออกแบบชิปให้ตรงกับความต้องการของสินค้า เช่น การ์ดจอ GPU หรือ ชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะไม่ได้เป็นผู้ผลิตชิปเอง แต่ยังมีผู้ออกแบบบางบริษัทที่ทั้งออกแบบและผลิตชิปตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เช่น Intel, Micron โดยบริษัทเหล่านี้มีกำไรขั้นต้น 40-50%  

2.บริษัทรับจ้างผลิตชิป (Foundry) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ บริษัทที่รับจ้างผลิตให้ผู้อื่นโดยไม่มีสินค้าเป็นของตัวเอง เช่น TSMC และบริษัทที่รับจ้างผลิตให้กับผู้อื่นและผลิตให้กับตัวเองอย่าง Samsung ปัจจุบันบริษัททั้งสองครองส่วนแบ่งตลาดของบริษัทผู้ผลิตชิปสูงถึง 70% และบริษัทเหล่านี้มีกำไรขั้นต้นสูงถึง 50%  

3.บริษัทที่ขายเครื่องมือสำหรับการผลิตชิป (Chip-Equipment Maker) เช่น ASML บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดใน   เนเธอแลนด์ ขายเครื่องมือการผลิตชิป Lithography แบบ EUV ที่มีความทันสมัยที่สุดในโลก โดยการใช้แสงความเข้มข้นสูงยิงวงจรที่ออกแบบไว้ไปยังแผ่นซิลิกา หรือที่เรียกว่า Wafer    

เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยจะทำให้สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กลง และยิ่งชิปมีขนาดเล็ก ก็จะยิ่งมีความเร็วในการประมวลผลสูงขึ้นและกินไฟน้อยลง แต่การทำให้ขนาดเล็กลงต้องอาศัยเครื่องมือ เทคโนโลยี ความรู้ความเชี่ยวชาญ โดยชิปที่มีความทันสมัยที่สุดในปัจจุบันถูกผลิตอยู่ที่โรงงานของ TSMC ในประเทศไต้หวัน ด้วยความบางระดับ 5 NM (นาโนเมตร) ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ใน iPhone ไปจนถึงรถยนต์ Tesla ขณะที่ชิปที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น 10NM จะอยู่ในคอมพิวเตอร์ และชิปขนาด 14NM จะอยู่ในรถยนต์ทั่วไป   

เมื่อเกิดวิกฤตชิปขาดแคลนและเล็งเห็นถึงความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นมาก TSMC ประกาศลงทุนขยายกำลังการผลิตของโรงงานสำหรับเพิ่มกำลังการผลิตในอีก 3 ปีข้างหน้า และมีแผนเปิดโรงงานในรัฐ Arizona โดยจะเริ่มผลิตชิปขนาด 3 NM จากโรงงานในไต้หวันให้กับ Intel และ Apple ซึ่งชิป 3NM นั้นใช้พลังงานน้อยลง 30% แต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น 15% หากเทียบกับชิป 5NM ขณะที่ ปธน.โจ ไบเดน ได้ทุ่มงบกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตชิปในประเทศ  

เช่นเดียวกับประเทศจีนที่มีจุดประสงค์ในการยกระดับการผลิตชิปที่ทันสมัยขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาชิปจากต่างประเทศ พร้อมตั้งเป้าว่าภายในปี 2025 ชิปที่ใช้ในประเทศ 70%จะต้องผลิตภายในประเทศจีน นอกจากสหรัฐฯ และจีนจะเล็งเห็นถึงความสำคัญแล้วกลุ่มสหภาพยุโรปยังได้อัดฉีดเม็ดเงินวิจัยและพัฒนา และลงทุนสร้างโรงงานสำหรับผลิตชิปที่มีความทันสมัยให้มากขึ้นในอนาคต  

หนึ่งในกองทุน ETF ที่มีการลงทุนในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการขาดแคลนชิป คือ VanEck Vector Semiconductor ETF (SMH) มีการลงทุนในบริษัทประมาณ 25 บริษัทตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ออกแบบชิปอย่าง Nvidia Intel ผู้ผลิตชิปอย่าง TSMC และบริษัทผู้ขายเครื่องมือสำหรับผลิตชิปอย่าง ASML ซึ่งบริษัทเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ สร้างผลกำไรได้สม่ำเสมอ และมีการเติบโตสูง ค่า P/E Ratio อยู่เพียงระดับ 34 เท่า ถูกกว่ากลุ่มเทคโนโลยีในภาพรวม สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี +64% ชนะดัชนี Nasdaq100 ที่ให้ผลตอบแทน +45%

ท่ามกลางวิกฤตการขาดแคลนชิปทำให้รัฐบาลต่างอัดฉีดงบประมาณวิจัย พัฒนา เร่งลงทุน ประกอบกับโลกกำลังก้าวไปสู่เศรษฐกิจแบบดิจิทัล จึงทำให้ความต้องการชิปเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถึงแม้การลงทุนในโรงงานจะทำให้ต้นทุนของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้น แต่จะถูกชดเชยด้วยราคาของชิปและยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นไปจนถึงอย่างน้อยปี 2023 ทำให้ความน่าสนใจของการลงทุนในอุตสาหกรรม Semiconductor ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ก็เป็นชิ้นส่วนที่ขาดไม่ได้ในโลกยุคดิจิทัล 

 ===================================

บทความโดย : วัทธิกร กิจจาวิจิตร  AFPT™ Wealth Manager ธนาคารทิสโก้  

บทความล่าสุด

หุ้นกลุ่ม Healthcare ทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีหุ้นโลก

โพสต์เมื่อ 20 เมษายน 2567

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะสูงกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare จะกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีตลาดหุ้นโลก

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตสร้างกำไร ขายหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เบนเข็มลงทุน “หุ้น Asia ex Japan”

โพสต์เมื่อ 20 เมษายน 2567

ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตดีกว่าคาด โดยภูมิภาคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และยังเป็นปีแห่งโอกาส

อ่านต่อ >>

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 20 เมษายน 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>