โอกาสลงทุน อินโดนีเซีย - เวียดนาม 2 ประเทศฐานการผลิตใหม่ของโลก

file

ปัญหาการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ - จีน รวมถึงยูเครน-รัสเซีย ทำให้บริษัทต่างๆ เริ่มเห็นถึงปัญหาและความซับซ้อนในการจัดการกับห่วงโซ่อุปทาน จึงเริ่มหาทางกระจายความเสี่ยงด้านการผลิต ที่เดิมอาจกระจุกตัวอยู่ที่ประเทศจีน ไปยังประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย

สาเหตุที่ทำให้ทั้งสองประเทศกลายเป็นประเทศเนื้อหอมที่นักลงทุนต่างประเทศเลือกที่จะไปตั้งฐานการผลิตนั้น มีเหตุผลที่ตรงกันคือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นอย่างมาก มีความพร้อมทั้งในแง่นโยบายที่จูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนตรง และวัยแรงงานที่มีอยู่มาก

โดยประเทศเวียดนาม มีจุดเด่นเฉพาะตัวด้านทำเลที่ตั้งใกล้กับจีน อีกทั้งยังมีประชากรวัยแรงงานจำนวนมาก นอกจากนี้ การเปิดกว้างต่อการลงทุนของต่างชาติ รวมถึงข้อตกลงทางการค้าได้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในการย้ายฐานการผลิตเข้ามาสู่เวียดนามอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปีที่ผ่านมาผลจากการล็อกดาวน์ในไตรมาส 3 จะทำให้เศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่หลังจากการควบคุมการแพร่ระบาดได้ เศรษฐกิจก็กลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยเศรษฐกิจในไตรมาส 2/2565 ขยายตัวได้ถึง 7.72% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) เพราะได้แรงหนุนจากภาคการส่งออก รวมถึงการทยอยฟื้นตัวของภาคบริการ ขณะที่เงินเฟ้อก็ยังอยู่ในกรอบอ้างอิง โดยในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 2.89%YoY ในแง่การเติบโตทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2565 และ 2566 อยู่ที่ 6.9% และ 6.7% ตามลำดับ

ในด้านการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมดัชนี VN Index ปรับตัวลง -14.5% โดยดัชนีปรับตัวลงชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 หลังมีข่าวการทุจริตของผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อป้องกันการถูก Margin Call จนทำให้ในไตรมาส 2/2565 ดัชนี VN Index ปรับตัวลงกว่า 20% สวนทางกับมุมมองผลประกอบการปี 2564 ที่คาดว่าจะเติบโต 30% ทำให้มูลค่าหุ้น (Valuation) เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมปรับตัวลงมาอยู่ในระดับน่าสนใจที่บริเวณ -2S.D. คิดเป็น Fwd P/E 11.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่อยู่ในระดับ 15.8 เท่า ขณะที่มองข้ามไปปีหน้ากำไรต่อหุ้น (EPS) ยังสามารถเติบโตได้อีกราว 15%

สำหรับความน่าสนใจของประเทศอินโดนีเซียนั้น คือความพร้อมทางปัจจัยการผลิตทั้งทรัพยากรคนและทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะแร่ทองแดงและนิกเกิลที่อินโดนีเซียสามารถผลิตได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจัยเหล่านี้ดึงดูดเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตด้านแบตเตอรี่และรถไฟฟ้า ทั้ง TESLA, CATL, LG Chem ให้ย้ายฐานการผลิตเข้ามา ขณะที่ไตรมาส 2/2565 เศรษฐกิจขยายตัว 5.4%YoY ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะขยายตัวได้ในอัตรา 5.2% และ 5.0% ตามลำดับ

ภาพการลงทุนตลาดหุ้นอินโดนีเซียตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม Jakarta Composite Index (JCI) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.7% สวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลก ตามทิศทางการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้าน EPS ปี 2565 ประเมินว่า จะขยายตัวสูงถึง 47% และ ปี 66 ขยายตัว 5% ด้าน Valuation Fwd P/E ซื้อขายที่ระดับ 16 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีเล็กน้อยที่ 17 เท่าขณะที่อุตสาหกรรมที่เป็นส่วนประกอบหลักของดัชนี ได้แก่ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจวัสดุการผลิต และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ยังคงได้รับปัจจัยเชิงบวกจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับสูงและแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศ

ในช่วงที่ความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูงนั้น ได้กลายเป็นปัจจัยบวกต่อเวียดนามและอินโดนีเซียที่มีปัจจัยการผลิตที่เพียบพร้อม นโยบายทางการเงินที่ไม่ได้มีความตึงมากเกินไป ขณะที่ระดับ Valuation ของตลาดหุ้นที่ไม่ได้สูงมากเกินไปก็เป็น 2 ประเทศที่เหมาะกับการเพิ่มเข้าไปในพอร์ตการลงทุนเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุนได้

อ้างอิง Bloomberg as of Aug 2021

 

======================

 

บทความโดย

ยศรวี จงแสงทอง AFPTTM

Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้ 

เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ สถานีลงทุน ของ ประชาชาติ

บทความล่าสุด

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>

Asia ex Japan หุ้นไม่แพง โตแรงแซงเศรษฐกิจโลก

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

ท่ามกลางตลาดหุ้นหลักของโลก เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น New High ต่อเนื่องจนมูลค่าเริ่มตึงตัว แต่หุ้นกลุ่มประเทศเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น ยังมีมูลค่าการซื้อขายยังอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

อ่านต่อ >>

ปีทองตลาดหุ้นเวียดนาม Country winner ปี 2024

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

เข้าสู่โค้งสุดท้ายของไตรมาส 1 ปี 2024 ตลาดหุ้นหลายแห่งทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย ยังเดินหน้าทำ New high อย่างต่อเนื่อง ทำให้การเข้าลงทุนในระดับราคาปัจจุบันเริ่มมีความเสี่ยง (Downside risk) ที่สูงขึ้นจาก Valuation ที่เริ่มตึงตัว

อ่านต่อ >>