โอกาสลงทุน “อินโดนีเซีย” เสือเศรษฐกิจใหม่แห่งอาเซียน

file

 

ท่ามกลางสถานการณ์การลงทุนที่ท้าทายเป็นอย่างมากในปีนี้ ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกนับตั้งแต่ต้นปีอยู่ในทิศทางที่ติดลบ สอดคล้องกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มถดถอยลง อย่างไรก็ตาม มีประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจได้สูงกว่า 5% อีกทั้งยังมีผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งถึง +9% นับตั้งแต่ต้นปี (Data as of 23/8/22) สวนทางกับตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก นั่นก็คือ อินโดนีเซีย ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินโดนีเซียมีการเติบโตที่โดดเด่นเหนือประเทศอื่น ๆ และอนาคตการเติบโตของอินโดนีเซียมีความน่าสนใจอย่างไร ? 

ปัจจัยแรก คือ ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่และมีการเติบโตที่รวดเร็ว ในปี 2022 IMF ได้คาดการณ์ GDP Growth ของอินโดนีเซียไว้สูงถึงระดับ 5.4% และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอีก 6% ในปี 2023 ปัจจัยหลักที่สนับสนุน GDP ของอินโดนีเซียให้เติบโตได้อย่างโดดเด่นก็คือ จำนวนประชากร 272 ล้านคน ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลกและเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคอาเซียน โดยประชากรส่วนใหญ่ราว 60% ของประเทศยังอยู่ในวัยแรงงานและมีอายุเฉลี่ยเพียงแค่ 31 ปีเท่านั้น ด้วยระดับรายได้ต่อหัวที่กำลังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องผนวกกับอัตราการเข้าถึงสินค้าบริการต่าง ๆ ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การบริโภคภายในประเทศถือเป็นพลังขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ IMF ยังได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 อินโดนีเซียจะเติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก โดยมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจาก จีน สหรัฐฯ และอินเดีย  

อีกปัจจัยหนึ่งที่ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของเศรษฐกิจอินโดนีเซีย ก็คือ ความเพียบพร้อมด้านทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้อินโดนีเซียเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของโลก ทั้งถ่านหิน นิกเกิล ดีบุก และน้ำมันปาล์ม นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังได้มีการปรับยุทธศาสตร์ระยะยาว ด้วยการลดการพึ่งพิงการส่งออกสินแร่ธรรมชาติและหันมาดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของบรรดาบริษัทชั้นนำระดับโลก ยกตัวอย่างเช่น Tesla ผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐฯ หรือ CATL บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ให้เคลื่อนย้ายเม็ดเงินเข้าลงมาลงทุนตั้งฐานการผลิตในอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานภายในประเทศและถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินแร่ธรรมชาติที่เป็นทรัพยากรหลักของประเทศ 

ด้วยลักษณะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงกำลังเติบโตเร็ว อุตสาหกรรมหลักในตลาดหุ้นอินโดนีเซียจึงประกอบไปด้วย หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Play) อย่างเช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงหุ้นกลุ่มที่อิงกับทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์และภาคการผลิต ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย นอกจากธุรกิจประเภท Old Economy แล้ว อินโดนีเซียถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความโดดเด่นในการสร้างบริษัท Start-up ที่เป็น Unicorn จำนวนมาก เพื่อเป็นการสร้าง New S-curve ใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ยกตัวอย่างเช่น Traveloka บริษัทผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักชั้นนำ J&T Express บริษัทผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนชั้นนำ หรือ Goto ผู้นำแพลตฟอร์ม Ride Hailing และ Food Delivery  

หากพูดถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น ปัจจุบัน Valuation ของตลาดหุ้นอินโดนีเซียซื้อขายอยู่ในระดับที่ไม่สูง สะท้อนจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนข้างหน้า (Forward PE) ที่ 16.4 เท่า ถือเป็นระดับที่ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยระยะยาว 5 ปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 17 เท่า โดยนักวิเคราะห์ใน Bloomberg Consensus คาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินโดนีเซียจะเติบโตได้สูงถึง +57.8% YoY ในปี 2022 และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอีก +12.7% YoY ในปี 2023 

ในแง่ของความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด อินโดนีเซียถือว่ายังมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ เมื่อพิจารณาจากตัวเลข Core CPI ซึ่งเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางอินโดนีเซียใช้เป็นมาตรวัดเสถียรภาพทางด้านราคา ในเดือน ก.ค. ที่ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 2.86% ทำให้ธนาคารกลางอินโดนีเซียยังสามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 3.5% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป โดยที่ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วหรือหลายประเทศในเอเชีย ในขณะที่ค่าเงินรูเปียห์มีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค โดยได้รับแรงหนุนมาจากทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งและดุลบัญชีเดินสะพัดที่พลิกกลับมาเกินดุลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2011 

ด้วยแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกในอนาคต ประกอบกับ Valuation ของตลาดหุ้นที่ยังซื้อขายอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลและมีการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่น ปัจจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจับตามองที่สุดในอาเซียนและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมให้กับนักลงทุนได้ในระยะยาว

==========================================================

บทความโดย : ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT 

Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

 

เผยแพร่ครั้งแรกที่คอลัมน์ Global Wealth Strategy ของ กรุงเทพธุรกิจ

บทความล่าสุด

หุ้นกลุ่ม Healthcare ทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีหุ้นโลก

โพสต์เมื่อ 20 เมษายน 2567

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะสูงกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare จะกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีตลาดหุ้นโลก

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตสร้างกำไร ขายหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เบนเข็มลงทุน “หุ้น Asia ex Japan”

โพสต์เมื่อ 20 เมษายน 2567

ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตดีกว่าคาด โดยภูมิภาคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และยังเป็นปีแห่งโอกาส

อ่านต่อ >>

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 20 เมษายน 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>