ลงทุนอย่างไร เมื่อดอกเบี้ยถึงจุด Peak

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1684124300957 1

 

ในช่วง 1 ปีผ่านมา ภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่เร็วที่สุดในรอบกว่า 40 ปีนับตั้งแต่ปี 1980 ได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน ทั้งหุ้น พันธบัตร REITs ตลอดจนสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆให้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางเพื่อปราบเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานสูงสุดในรอบ 40 ปี อย่างไรก็ตาม วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าวกำลังใกล้จะสิ้นสุดลง จาก 3 เหตุผล ดังต่อไปนี้

1. เงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และลดลงมาเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน สะท้อนจากดัชนีเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด อัตราเงินเฟ้อเดือน มี.ค. 2023 ของสหรัฐฯอยู่ที่ระดับ 5% ถือเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.75% – 5%

นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่ 5% เทียบกับ Dot plot ที่บ่งชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Terminal rate) ที่ Fed เอง คาดว่าจะปรับขึ้นไปที่ระดับ 5% – 5.25% นั่นเท่ากับว่า Fed อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียงแค่ 1 ครั้งในการประชุมรอบเดือน พ.ค. และหยุดวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยไว้เพียงเท่านี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยได้กลับมาสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อแล้ว

2. เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) สะท้อนจาก Leading Economic Index (LEI) ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้พิจารณาการเกิด Recession ปรับตัวลงมาอยู่ในแดนลบและใกล้เคียงระดับในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2000, 2008 และ 2020 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า

3. เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอย Fed จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ตัวอย่างเช่น การปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในอดีตจนเกิดวิกฤต Subprime ปี 2008 หรือ วิกฤต Dotcom ปี 2000 ส่งผลให้ Fed จำเป็นต้อง “หยุดขึ้นดอกเบี้ย” และ “ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง” ในเวลาต่อมา เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจจากภาวะวิกฤต

ล่าสุดเหตุการณ์ Bank run ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นสัญญาณเตือนว่าการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้ Fed จำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้นในการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด

ในแง่ของกลยุทธ์การลงทุน เรามองว่า ตลาดได้มองข้ามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว และจะหันมาให้น้ำหนักกับการ “คงดอกเบี้ย” และ “ลดดอกเบี้ย” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ดังนั้น เมื่อแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเริ่มผ่อนคลายลง เราเชื่อว่าราคาสินทรัพย์หลายประเภทมีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นและเป็นโอกาสในการลงทุนครั้งสำคัญสำหรับวัฎจักรเศรษฐกิจรอบนี้

ประเภทสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการลงทุน คือ “สินทรัพย์คุณภาพสูง” ที่ “ราคาปรับตัวลดลงมาแรง” ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากความกังวลต่อภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมี Themes การลงทุนที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

● Hope for the last rate hike, prepare to the first rate cut  : สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการ “หยุดขึ้นดอกเบี้ย” และ “ภาวะดอกเบี้ยขาลง” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่

1. พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ investment grade ซึ่งให้ Yield อยู่ในระดับที่น่าสนใจและราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ดี หากอัตราดอกเบี้ยกลับมาเป็นขาลงในอนาคต

2. หุ้นกลุ่ม Technology ที่ราคาหุ้นได้รับผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่มีโอกาสกลับมาฟื้นตัวแรงเมื่อเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง โดยหุ้นกลุ่ม Technology ที่น่าสนใจ คือ กลุ่มที่รายได้ยังมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างสม่ำเสมอตามเทรนด์ Digital Transformation ยกตัวอย่างเช่น กลุ่ม Cloud computing และ Cybersecurity

● Recession fighter : หุ้นกลุ่ม “Quality growth” ที่มีความแข็งแกร่งของกำไร กระแสเงินสดดี หนี้สินต่ำและที่สำคัญคือ ผลประกอบการยังสามารถเติบโตได้ แม้จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

1. หุ้นกลุ่ม Healthcare ที่มีอัตราการเติบโตสม่ำเสมอตาม Megatrends สังคมผู้สูงอายุและเป็นกลุ่มผู้ผลิตนวัตกรรมการแพทย์ เช่น Biotechnology และ Digital Health

● High potential growth countries : ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเอเชียที่ GDP เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจโลกและมีการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่

1. ตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากการ Re-opening เศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ GDP ของจีนมีแนวโน้มเติบโตมากกว่า 5% ในปีนี้ ทั้งนี้ ควรเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Megatrends และได้รับการสนับสนุนจากแผนยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลจีน เช่น กลุ่ม Consumer, Clean energy

2. ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่า 6% ในปีนี้จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวและมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPTWealth manager ธนาคารทิสโก้

เผยแพร่ครั้งแรก: เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

==========================================================

บทความล่าสุด

4 ปัจจัยหนุน หุ้นญี่ปุ่นพุ่งทะยานปี 2025

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากนโยบายกีดกันทางค้าของสหรัฐฯ ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ตลอดจน Valuation ของตลาดหุ้นหลายแห่งที่เริ่มตึงตัว ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้

อ่านต่อ >>

ยุคทองของหุ้นสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้น 

นายโดนัลด์ ทรัมป์ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่า “ยุคทอง” ของสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้นขึ้น โดยออกคำสั่งประธานาธิบดี (Executive orders) หลายฉบับ และคำแถลงต่างๆ ที่เป็นแนวทางในการบริหารประเทศในช่วง 100 วันแรก

อ่านต่อ >>

เปิด 3 กลยุทธ์ ที่ต้องมีเมื่อเริ่มยุคทองของทรัมป์ในปี 2025

ผ่านพ้นปี 2024 เป็นปีที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกต่อเนื่องอีกปี ตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทน 18% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 20% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แม้แต่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้ 18% หลังจากเงียบเหงามากว่า 2 ปี

อ่านต่อ >>

4 ปัจจัยหนุน หุ้นญี่ปุ่นพุ่งทะยานปี 2025

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากนโยบายกีดกันทางค้าของสหรัฐฯ ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ตลอดจน Valuation ของตลาดหุ้นหลายแห่งที่เริ่มตึงตัว ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้

อ่านต่อ >>

ยุคทองของหุ้นสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้น 

นายโดนัลด์ ทรัมป์ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่า “ยุคทอง” ของสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้นขึ้น โดยออกคำสั่งประธานาธิบดี (Executive orders) หลายฉบับ และคำแถลงต่างๆ ที่เป็นแนวทางในการบริหารประเทศในช่วง 100 วันแรก

อ่านต่อ >>

เปิด 3 กลยุทธ์ ที่ต้องมีเมื่อเริ่มยุคทองของทรัมป์ในปี 2025

ผ่านพ้นปี 2024 เป็นปีที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกต่อเนื่องอีกปี ตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทน 18% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 20% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แม้แต่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้ 18% หลังจากเงียบเหงามากว่า 2 ปี

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า