ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” และในอนาคตอันใกล้คนไทยจำนวนมากจะมีอายุยืนยาวแตะ 100 ปี แนวโน้มนี้สะท้อนเทรนด์ระดับโลกที่เรียกว่า “Longevity” ที่คนมีอายุยืนยาวขึ้นและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตในระยะยาวมากกว่าเดิม
เมื่อช่วงชีวิตหลังเกษียณอาจยาวนานถึง 30–40 ปี การวางแผนการเงินสำหรับคนยุคใหม่จึงเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้น และในช่วงโค้งสุดท้ายของปีที่หลายคนกำลังเร่งวางแผนลดหย่อนภาษี นี่คือเวลาที่เหมาะที่สุดที่เราจะมอง “การลดหย่อนภาษี” ให้ลึกกว่าแค่การลดภาระ แต่ยังเป็นโอกาสในการ “ออกแบบชีวิตหลังเกษียณ” ให้มั่งคั่ง มั่นคงและสอดคล้องกับโลกยุค Longevity ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ดังต่อไปนี้
1.ลงทุนล้อไปกับเทรนด์โลก เพื่อสร้างความมั่งคั่ง
ในยุคที่การมีอายุขัยยืนยาวกลายเป็นความจริงใหม่ของสังคม ความเสี่ยงที่ต้องระวังคือ “เงินไม่พอจะเกษียณ” การลงทุนจึงต้องคิดเผื่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณที่อาจยาวนานกว่า 30–40 ปี โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างเงินก้อนที่เติบโตทันอายุขัยและไล่ทันเงินเฟ้อ ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตสูงในระยะยาว ปัจจุบันเครื่องมือการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งการลดหย่อนภาษีและสร้างผลตอบแทนระยะยาวไปพร้อมกัน ได้แก่ กองทุนรวม RMF และ ThaiESG
การเลือกลงทุนในกองทุนรวม RMF ควรจัดพอร์ตแบบ “Core – Satellite” และเน้นลงทุนหุ้นต่างประเทศ โดยในส่วน Core ลงทุนผ่านกองทุนรวม RMF ประเภท Global Equity ซึ่งลงทุนบริษัทชั้นนำทั่วโลกและกระจายความเสี่ยงหลากหลายอุตสาหกรรม ในขณะที่ส่วน Satellite กระจายการลงทุนไปยังประเทศที่ GDP เติบโตเร็ว เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม ควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Megatrends ของโลก เช่น หุ้นกลุ่ม Technology ที่ได้อานิสงส์เชิงบวกจากเทรนด์ AI หรือหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ได้รับประโยชน์จากสังคมผู้อายุและนวัตกรรมการแพทย์ที่ก้าวหน้า
ส่วนกองทุน ThaiESG ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศไทย ควรเน้นหุ้นกลุ่มปันผลสูง (High Dividend) ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของตลาดหุ้นไทยในยุคที่ GDP เติบโตช้าและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
2.ปกป้องทรัพย์สินที่สร้างมา ด้วยประกันสุขภาพ
อีกหนึ่งความเสี่ยงใหญ่ของยุค Longevity คือภาวะ “เจ็บก่อนรวย” เมื่อความมั่งคั่งที่เราสะสมมาตลอดชีวิต อาจหายไปในพริบตาเพราะค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวัยหลังเกษียณที่ร่างกายเริ่มอ่อนแอและมีความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงประเภทต่างๆมากขึ้น ในปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในประเทศไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 9% ต่อปี สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ หากขาดการวางแผนที่ดีตั้งแต่วันนี้ ความฝันของการใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมั่นคง อาจต้องสะดุดลงเพียงเพราะค่ารักษาพยาบาล
ประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง จึงไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือลดหย่อนภาษี แต่เป็น “ระบบป้องกันความมั่งคั่ง” ที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ โดยไม่กระทบทรัพย์สินที่สะสมมาทั้งชีวิตจากการทำงานและการลงทุน ทั้งนี้ ควรเลือกประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่มีวงเงินสูงเพียงพอและเหมาะกับโรงพยาบาลที่ใช้บริการเป็นประจำ รวมถึงเลือกประกันโรคร้ายแรงที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมหลายกลุ่มโรค จ่ายผลประโยชน์เงินก้อนสูงตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและไม่มีระยะเวลารอคอยในการเคลมต่างกลุ่มโรค
3.สร้างกระแสเงินสดหลังเกษียณที่มั่นคง ด้วยประกันบำนาญ
อีกหนึ่งความท้าทายใหม่ในยุค Longevity ที่หลายคนมองข้ามก็คือ “เงินหมดก่อนตาย” ซึ่งอาจนำไปสู่คุณภาพชีวิตช่วงบั้นปลายที่ลดลง เพราะช่วงเวลาวัยหลังเกษียณในยุค Longevity ที่อาจยาวนานถึง 30 – 40 ปี การสร้าง “เครื่องจักรผลิตเงินสด” หลังเกษียณ จึงมีความสำคัญ
การทำประกันบำนาญ ถือเป็นการสร้าง “ระบบบำนาญส่วนตัว” ที่จ่ายเงินให้เราทุกปีช่วงหลังเกษียณ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพารายได้จากลูกหลานหรือระบบบำนาญของรัฐฯ นอกจากประกันบำนาญจะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าจะมีเงินใช้หลังเกษียณอย่างแน่นอนแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากพอร์ตการลงทุน ซึ่งผลตอบแทนอาจไม่แน่นอนและผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ควรเลือกประกันบำนาญที่จ่ายผลประโยชน์ขณะที่มีชีวิต (Living Benefit) ที่สูงและเลือกทำประกันกับบริษัทที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงเพราะเป็นสัญญาระยะยาวที่มีผลกับคุณภาพชีวิตตลอดวัยเกษียณ
การวางแผนภาษีและวางแผนเกษียณสามารถเดินไปด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเราเข้าใจผลิตภัณฑ์การเงินแต่ละประเภทและใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างมีเป้าหมาย เงินทุกบาทที่ลงทุนในวันนี้จะเป็น “เมล็ดพันธุ์แห่งความมั่งคั่ง” ที่เติบโตขึ้นในวันข้างหน้าและพาเราไปสู่ชีวิตเกษียณในโลกยุค Longevity แบบมีคุณภาพ
บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้


