
“อย่าเก็บไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” เป็นประโยคที่อยู่คู่กับโลกการลงทุนมานานซึ่งสะท้อนหลักการสำคัญของการกระจายความเสี่ยงซึ่งถือเป็นหัวใจของการลงทุนระยะยาว วิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ SAA (Strategic Asset Allocation) หรือการจัดพอร์ตการลงทุนโดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน ส่วนใหญ่จะใช้ “สัดส่วนสำเร็จรูป” สำหรับการลงทุนระยะยาวในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% ของเงินลงทุน อย่างไรก็ตามในสภาวะปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความผันผวนจากทั้งเศรษฐกิจโลก การเมืองระหว่างประเทศ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ การจัดพอร์ตแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอที่จะรองรับความผันผวนได้เหมือนในอดีตและจำเป็นต้องเลือกกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ทั้งนี้ ความนิยมของพอร์ต 60/40 เกิดจากความสัมพันธ์เชิงลบ (Negative Correlation) ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ เห็นได้จากเมื่อหุ้นปรับตัวลงจากเศรษฐกิจชะลอตัว ตราสารหนี้มักให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ทำให้พอร์ตโดยรวมมีทั้งสินทรัพย์ที่สร้างการเติบโตไปพร้อมสินทรัพย์ที่สร้างเสถียรภาพ แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองสินทรัพย์เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเชิงบวกหรือเคลื่อนไหวทางเดียวกันมากขึ้น เห็นได้ชัดในในตั้งแต่ปี 2022 ที่โลกอยู่ในภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงรวดเร็วได้กดดันทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไปพร้อมกัน ดัชนีอ้างอิงอย่าง Morningstar Global 60/40 ปรับตัวลงถึง 18% เช่นเดียวกับ MSCI ที่ระบุว่าปี 2022 เป็นปีที่พอร์ต 60/40 ทำผลงานได้แย่ที่สุดในรอบกว่า 50 ปี จึงทำให้นักลงทุนจำนวนมากเริ่มมองหาวิธีการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นได้มากกว่าการจัดพอร์ตแบบเดิม
สำหรับหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น คือกองทุนรวมผสมเชิงกลยุทธ์ (Multi Asset Strategy Fund) ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงทั้งการยืดหยุ่นในการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น ทองคำ ตราสารหนี้อ้างอิงเงินเฟ้อ หรือ REITs รวมถึงยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะตามภาวะเศรษฐกิจ หากแนวโน้มตลาดมีความเสี่ยงสูงขึ้น กองทุนอาจเลือกถือเงินสดเพื่อรอโอกาส ทำให้ระดับความผันผวนโดยรวมมักต่ำกว่ากองทุนผสมแบบกำหนดสัดส่วนคงที่
ตัวอย่างกองทุนในกลุ่มนี้ คือ กองทุน Schroder ISF Global Target Return ที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภททั้งหุ้น ตราสารหนี้ เงินสด รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกที่เหมาะสมในแต่ละสภาวะการลงทุน เป้าหมายของกองทุนนี้จะพยายามสร้างผลตอบแทนเป้าหมายตาม “อัตราดอกเบี้ย LIBOR 3 เดือน บวก 5% ต่อปี” โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2025 กองทุนสร้างผลตอบแทนได้ถึง 5.6% สูงกว่าเป้าหมายที่ 4.6% และมีผลตอบแทนเฉลี่ยราว 6% ต่อปีตั้งแต่ปี 2019 นอกจากนี้กลยุทธ์ของกองทุนยังเสริมด้วยการคุมความเสี่ยงไม่ให้ผันผวนเกิน 7% (ใกล้เคียงกับตราสารหนี้โลก) จุดนี้เองทำให้กองทุนปรับตัวลงไม่มากในช่วงวิกฤต เช่นช่วงปี 2022 ที่ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ปรับตัวลง มากกว่า 25% และ 20% ตามลำดับ แต่กองทุนนี้ปรับตัวลงราว 13% (ต่ำว่ากว่าหุ้นกว่าครึ่ง) ทำให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนที่อยากได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการถือตราสารหนี้แต่ไม่อยากรับความผันผวนสูงเท่าหุ้น
แผนภาพ : แสดงการปรับตัวลงของกองทุน Schroder ISF Global Target Return ในช่วงที่เกิดวิกฤต

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรทำความเข้าใจเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนลักษณะนี้ เนื่องจากไม่ได้ผูกติดกับดัชนีอ้างอิงแบบเดิม แต่ก็มีความยืดหยุ่นในการกำหนดเป้าหมาย เช่น ตั้งเป้าผลตอบแทนส่วนเพิ่ม 5% จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี หรือเน้นสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอในกรอบ 5-7% ต่อปี ซึ่งการทำความเข้าใจนโยบายการลงทุนอย่างชัดเจนจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว “การกระจายความเสี่ยง” ยังคงเป็นหลักการสำคัญของการลงทุนระยะยาว แต่เมื่อความไม่แน่นอนและความผันผวนมีแนวโน้มสูงขึ้น การเลือกใช้กองทุนผสมเชิงกลยุทธ์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพอร์ต พร้อมสร้างโอกาสในการลงทุนควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
บทความอ้างอิงข้อมูลจาก : Morningstar, MSCI, TISCO ASSET
บทความโดย ยศรวี จงแสงทอง AFPT™, AISA
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้