
ก้าวเข้าสู่เดือนสุดท้ายของครึ่งปีแรกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากประเด็นภาษีการค้า และมีแนวโน้มว่าความไม่แน่นอนนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 การวางกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนพร้อมสร้างผลตอบแทนท่ามกลางสถานการณ์นี้จึงแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีเศรษฐกิจถดถอยหากการเจรจาการค้าไม่บรรลุผล และกรณีเศรษฐกิจไม่ถดถอยหากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศคลี่คลายลง
1.กรณีเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศต่างๆไม่บรรลุผล สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในอัตราสูงตามที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. และจะเริ่มใช้ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ จะมีโอกาสทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนทั่วโลกจะอยู่ภายใต้แรงกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุน: ตราสารหนี้โลก และทองคำ
ตราสารหนี้และทองคำจัดเป็นกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ที่จะสร้างภูมิต้านทานให้พอร์ทลงทุนได้ท่ามกลางความผันผวนและยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยการลงทุนในตราสารหนี้โลกจะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนทองคำจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (inflation hedge) ที่อาจปรับเพิ่มสูงขึ้นหากนโยบายการตั้งกำแพงภาษียังคงมีความเข้มข้น
2. กรณีเศรษฐกิจไม่ถดถอย (Non-recession) หากการเจรจาการค้าบรรลุผลนำไปสู่การปรับลดอัตราภาษีนำเข้าที่ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศไว้เมื่อเดือน เม.ย. กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะยังคงขยายตัวได้ไม่ชะลอตัวรุนแรงถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอยกลยุทธ์การลงทุน: หุ้นญี่ปุ่น หุ้นอินเดีย และหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Megatrend)
ญี่ปุ่นและอินเดีย เป็นกลุ่มประเทศที่มีความคืบหน้าในการเจรจาการค้ามากที่สุด (ไม่นับรวมอังกฤษที่ได้รับการปรับลดอัตราภาษีแล้ว) และยังเป็นประเทศที่สหรัฐฯเรียกเก็บภาษีเพิ่มน้อยกว่าประเทศอื่นโดยเฉลี่ย โดยสหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมจากญี่ปุ่นที่ 24% และอินเดียที่ 26% ต่ำกว่าอัตราภาษีที่สหรัฐฯเรียกเก็บเพิ่มเติมจากประเทศอื่นเฉลี่ยที่ 30% ซึ่งหากญี่ปุ่นและอินเดียบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯจะทำให้อัตราภาษีดังกล่าวมีแนวโน้มถูกปรับลดลงจากเดิม หรืออาจได้รับยกเว้น คงเหลือไว้เพียงอัตราภาษี 10% ที่มีการบังคับใช้แล้วตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา
ญี่ปุ่นและอินเดียยังพึ่งพิงรายได้จากการส่งออกไปยังสหรัฐฯในสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำ โดยคิดเป็นเพียง 4% และ 2% ต่อ GDP ตามลำดับ ทั้งนี้ ภาคการบริโภคภายในประเทศของทั้งญี่ปุ่นและอินเดียมีบทบาทต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า
โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นทางเลือกในการขยายกำลังการผลิตหรือย้ายกำลังการผลิตจากจีนที่มีโอกาสถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงกว่า ขณะที่ญี่ปุ่นมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากค่าเงินเยนที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งปีหลังที่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
หุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Megatrend) การลงทุนในหุ้นโลกที่มีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง (Megatrend) คลอบคลุมในหลากหลายอุตสาหกรรมที่โดดเด่นจากหลากหลายประเทศ เช่น กลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลุ่มเทคโนโลยีด้านสุขภาพ และกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน จะช่วยสร้างผลตอบแทนสูงให้กับพอร์ทลงทุนในระยะยาวได้แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนในระยะสั้นดังเช่นในช่วงปีนี้
การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2025 แม้จะยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแต่ในขณะเดียวกันยังเต็มไปด้วยโอกาสในการลงทุนด้วยการสร้างพอร์ทให้มีภูมิต้านทานด้วยทองคำและตราสารหนี้หากเศรษฐกิจถดถอย และจับจังหวะลงทุนในญี่ปุ่น อินเดียและหุ้นกลุ่ม Megatrend โลก เพื่อสร้างผลตอบแทนหากเศรษฐกิจกลับมาขยายตัว
บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT™
Wealth Manager ธนาคารทิสโก้