file

จับตาการเลือกตั้งสหรัฐฯ... กับทิศทางตลาดหุ้น

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 38 | คอลัมน์ Wealth Manager Talk

ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีทิศทางปรับตัวขึ้น​​แม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องBrexit ในช่วงที่ผ่านมา แต่จากการกระตุ้น ของธนาคารแห่งอังกฤษ(BoE)ที่ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยลงจาก0.50% เหลือ0.25% ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบ7ปีและกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการทํา QEเพิ่มโดยขยายวงเงิน QEอีก6หมื่นล้านปอนด์ต่อเดือนเป็นระยะเวลา 6 เดือนรวม​เป็นวงเงิน​ทํา QEทั้งหมด4.35 แสนล้านปอนด์​ และคาดว่าอังกฤษจะยื่นเอกสารขอออกจากกลุ่มยูโรไม่เกินเดือนเมษายน2017ทํา ให้นักลงทุนคลายความกังวล กับเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีปัญหาแล้วกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นต่อ
 

แต่สิ่งที่น่าติดตามในไตรมาสสี่ คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ที่เป็นการแข่งขัน ชิงตํา แหน่งระหว่าง นาย Donald Trump ตัวแทนพรรครีพับลิกัน กับ นาง Hillary Clinton ตัวแทนพรรคเดโมแครต ซึ่งปัจจุบันเก้าอี้ในสภา ของสหรัฐอเมริกา ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรยังคงครองเสียง ข้างมากจากพรรครีพับลิกัน ส่วนผลโหวต ณ ขณะนี้ นาง Clinton ยังคงนํา นาย Trump อยู่ไม่มาก (ตามรูปที่ 1)

 

Bootstrap Image Preview
 
 

ถ้าดูที่นโยบายการหาเสียงของทั้งคู่ ค่อนข้าง ที่จะแตกต่างกันอยู่มาก ทางฝั่งนาย Trump จะปรับลดภาษีบุคคลธรรมดาลงจากปัจจุบันที่ 39.6% เหลือ 25% และปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคล จาก 11% เป็น 15% ซึ่งแม้ว่า นาย Trump จะ ปรับลดการเก็บภาษีบุคคลธรรมดาลงก็จะทําให้ รายได้ของภาครัฐหายไป แต่นาย Trump ก็ เสนอที่จะยกเลิกโครงการ Obamacare ที่เป็น จุดขายของพรรคเดโมแครต ที่เป็นค่าใช้จ่าย ของรัฐประมาณ 30% และประเด็นที่ทําให้ ความนิยมของนาย Trump เพิ่มขึ้น คือ การที่ จะให้คนที่วีซ่าสหรัฐอเมริกาหมดอายุแล้วยัง ทํางานอยู่ในประเทศสหรัฐฯ ออกจากประเทศไป เป็นจุดที่ทําให้กลุ่มของคนสหรัฐฯ ที่เสียภาษี ถูกต้องเห็นด้วยกับนาย Trump มีมากขึ้น

 

Bootstrap Image Preview
 
 

ส่วนฝั่งนาง Clinton ก็เสนอที่จะเก็บภาษีเพิ่ม โดยภาษีบุคคลธรรมดาจะเก็บสูงถึง 43.6% และปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคลเป็น 35% ทั้งนี้ นาง Clinton จะนำเงินภาษีที่เก็บเพิ่มไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพิ่มมากขึ้น และสานต่อนโยบาย Obamacare โดยอาจจะมีการตั้งเพดานราคา เวชภัณฑ์ยาที่ใช้ในการรักษาให้มีราคาที่เหมาะสมมากขึ้น

Bootstrap Image Preview
 
“ผู้เข้าชิงตํา แหน่งประธานาธิบดีทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับการเจรจาความตกลงหุ้นส่วน ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement : TPP) ที่เริ่มมาจากประธานาธิบดี Obama”

สำหรับนโยบายต่างประเทศของทั้งคู่ที่เหมือนกัน คือ ผู้เข้าชิงต่ำแหน่งประธานาธิบดีทั้งคู่ไม่เห็นด้วย กับการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement : TPP) ที่เริ่ม มาจากประธานาธิบดี Obama โดยเป็นข้อตกลง ที่จะลดกำแพงภาษีสินค้ากว่า 18,000 รายการ ช่วย ยกระดับการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับภูมิภาค เอเชียแปซิฟิกให้ดีขึ้น รวมถึงวุฒิสภาก็อาจจะไม่ค่อย ชอบโครงการนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ที่เป็นนโยบาย การค้าระหว่างประเทศที่ค่อนข้างจะแข็งกร้าวของ นาย Trump คือ การต่อต้านสินค้าจากจีนที่จะปรับ กำแพงภาษีสินค้าจากจีนให้สูงขึ้น

 

Bootstrap Image Preview
 

 

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปีนี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นยังคงสดใส ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า นาง Clinton น่าจะมีโอกาสชนะ และนักลงทุน ในตลาดก็มั่นใจกับนโยบายของนาง Clinton มากกว่านาย Trump คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังคงเดินหน้าขยายตัวในปี 2016 ที่ 1.3% และปี 2017 จะเติบโต 1.7%

แต่ประเด็นที่นักลงทุนต้องติดตามอีกเรื่องที่สำคัญ คือ การปรับขึ้น ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่คาดว่าจะปรับขึ้นในเดือน ธันวาคม (ประชุม 13-14 ธ.ค. 2016) ที่จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น แต่ก็คาดว่าไม่ได้รุนแรงเหมือนปีที่แล้วที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนมาก เพราะนักวิเคราะห์ต่างก็คาดการณ์ว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็น ค่อยไป

 

Bootstrap Image Preview
 
 
“การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปีนี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นยังคงสดใส ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า นาง Clinton น่าจะมีโอกาสชนะ และนักลงทุน ในตลาดก็มั่นใจกับนโยบายของ นาง Clinton มากกว่านาย Trump คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ยังคงเดินหน้าขยายตัวในปี 2016 ที่ 1.3% และปี 2017 จะเติบโต 1.7%”

ฉะนั้น การลงทุนในช่วงสุดท้ายของปี 2016 คาดว่าประเทศที่ยังคง ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและหุ้นยังมี Upside เรายังคง แนะนำการลงทุนในประเทศญี่ปุ่นที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังทำ QQE อยู่ปีละ 80 ล้านล้านเยน และรัฐบาลญี่ปุ่นยังคงมีการลงทุนใน ประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2020 อีกทั้งเงินเยนที่แข็งค่ามาตั้งแต่ต้นปีที่ทำให้หุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลงมา ก็มีแนวโน้มจะกลับอ่อนค่าตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะกลับมา แข็งค่าขึ้นตามการคาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ยของ FED ครับ

หากผู้อ่านท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินการลงทุนของตนเอง สามารถส่งคํา ถามของท่านมาได้ที่ trustmagazine@tisco.co.th