file

เลือกหุ้นแกร่ง รับความผันผวนปี 2017

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 39 | คอลัมน์ Wealth Manager Talk

ปี 2016 เป็นอีกปีหนึ่งที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างมากตั้งแต่ต้นปี จากความกังวลเรื่อง 1) การปรับตัวลงของราคานheมัน 2) การชะลอตัว ของเศรษฐกิจจีน และการอ่อนค่าของเงินหยวน 3) การโจมตีค่าเงิน ของกองทุน Hedge Fund และ 4) ความเสี่ยงของธนาคารในยุโรป นอกจากนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังก็มีเรื่องที่ทำให้ตลาดตกใจ (ผลลัพธ์ออกมา ตรงข้ามกับการคาดการณ์ของตลาด) คือ การที่อังกฤษขอออกจาก สหภาพยุโรป หรือ BREXIT และการที่นาย Donald Trump ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ถ้าเลือกลงทุนได้ถูกตัว และบริหารพอร์ตได้อย่างเหมาะสม เชื่อได้ว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ในปีที่ผ่านมา ถึงแม้ตลาดจะผันผวนอย่างมากก็ตาม

ในปีนี้เราก็เชื่อว่าตลาดหุ้นก็จะยังมีความผันผวนอยู่ เนื่องจากเมื่อมอง ไปข้างหน้า ยังมีอีกหลายประเด็นที่มีความเสี่ยงและต้องติดตาม อาทิ 1) การดำเนินนโยบายต่างๆ ของนาย Trump หลังจากได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี อย่างเป็นทางการว่าจะดำเนินนโยบายต่างๆ ตามที่หาเสียงได้มากน้อย ขนาดไหน 2) การที่อังกฤษจะขอออกจากสหภาพยุโรปตามมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งนาง Theresa May นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ แจ้งว่าน่าจะเริ่มดำเนินการได้ช่วงเดือนเมษายน 3) ความเสี่ยงทาง การเมืองของประเทศในยุโรป เนื่องจากมีการเลือกตั้งของเนเธอร์แลนด์ วันที่ 15 มีนาคม การเลือกตั้งของฝรั่งเศส วันที่ 23 เมษายน และการ เลือกตั้งของเยอรมนีในเดือนกันยายน เป็นต้น

ดังนั้น การจัดพอร์ตเลือกหุ้นที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเติบโตดี จะสามารถต้านทาน ความผันผวนที่จะเกิดขึ้นและสามารถสร้าง ผลตอบแทนที่ดีในปีนี้ได้ โดยเราแนะนำ หุ้น ดังนี้


หุ้น S&P500

ได้ประโยชน์จากนโยบายของนาย Trump ที่เน้นทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยเน้นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ต่างๆ เช่น โทรคมนาคม โครงข่ายต่างๆ และการคมนาคมขนส่ง วงเงินประมาณ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้ เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการ ลดภาษีบุคคลธรรมดา จาก 39.6% เป็น 25% และลดภาษีนิติบุคคล จาก 35% เป็น 15% ทำให้บริษัทจดทะเบียนต่างๆ มีกำไรเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ Sector ธนาคาร วัสดุก่อสร้าง และโรงงานผู้ผลิต เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ราคา หุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยปัจจุบัน S&P500 มี Forward P/E ประมาณ 16.7 เท่า

 

Bootstrap Image Preview
“หุ้น S&P500 ได้ประโยชน์จากนโยบายของนาย Trump ที่เน้นทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยเน้นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โทรคมนาคม โครงข่ายต่างๆ และการคมนาคมขนส่ง”


หุ้น US - Healthcare

ราคาหุ้นกลุ่ม Healthcare ถูกกดดัน จากนโยบายควบคุมราคายาของนาง Hillary Clinton และในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนได้ขาย หุ้นกลุ่ม Healthcare ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ราคาหุ้นของกลุ่ม Healthcare ปรับตัวลดลง แต่ปัจจุบันนาย Trump ได้เป็น ประธานาธิบดี ทำให้ความกังวลเรื่องนโยบาย การควบคุมราคายาของนาง Clinton หมดไป รวมทั้งราคาค่ารักษาพยาบาล และราคายา วัสดุเวชภัณฑ์ จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นสูง กว่าอัตราเงินเฟ้อทุกปี เราจึงเชื่อว่ากลุ่ม Healthcare มีโอกาส Re-rate P/E กลับมา เพิ่มขึ้นเท่ากับ หรือสูงกว่า P/E ของ S&P500 ดังเช่นที่เกิดขึ้นในอดีต โดย Forward P/E ของ S&P500 Healthcare อยู่ที่ 14.7 เท่า และ ต่ำกว่า Forward P/E ของ S&P500 ที่ 16.7 เท่า นอกจากนั้น สินค้ากลุ่มนี้เป็น สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ซึ่งจะช่วยต้านทาน ความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี

 

Bootstrap Image Preview

หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค (Global Consumer) (KXI : US)

เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และต้านทานความผันผวนในตลาดได้เป็น อย่างดี เพราะได้รับประโยชน์จากการที่ ประชากรมีอายุยืนขึ้น มีรายได้และกำลังซื้อ มากขึ้น รวมทั้งเมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีต หุ้นกลุ่มนี้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.5% ต่อปี ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และความผันผวน (Standard Deviation) อยู่ในระดับต่ำที่ 13.7% ซึ่งความ ผันผวนยังน้อยกว่ากลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) (รายละเอียดตามภาพ) โดยตัวอย่างหุ้นกลุ่มนี้ ได้แก่ Nestle P&G Coca Cola และ Philip Morris เป็นต้น

 

“หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค ต้านทานความผันผวนในตลาดได้เป็นอย่างดี เพราะได้รับประโยชน์ จากการที่ประชากรมีอายุยืนขึ้น มีรายได้และกำลังซื้อมากขึ้น”


หุ้นอินเดีย (INDA : US)

อินเดียเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญ เติบโตสูงถึง 7% รัฐบาลมีแผนเปิดประเทศ ให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น และมีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อการ กระตุ้นเศรษฐกิจ หุ้นอินเดียในช่วงปีที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างดี แต่ในช่วงเดือน พฤศจิกายน ได้รับผลกระทบจากการที่ทางการ อินเดียได้ประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตรมูลค่า 500 และ 1,000 รูปี เพื่อกำจัดเงินนอกระบบ โดยให้ประชาชนนำธนบัตรดังกล่าวไปฝากกับ ธนาคารและแลกเป็นธนบัตรรูปแบบใหม่ และมีข้อจำกัดในการถอนเงิน ทำให้ระยะสั้น มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลลบต่อธุรกิจที่ใช้ เงินสด เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค และการขนส่ง แต่ในระยะยาว เรามองว่า มาตรการดังกล่าว จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอินเดีย เพราะจะทำให้ ทางการสามารถเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น ดังนั้น เรามองว่าการปรับตัวลงของ หุ้นอินเดียจากเรื่องนี้เป็นจังหวะที่ดีในการ ซื้อหุ้นอินเดียที่มีศักยภาพในการเติบโต และ ราคาไม่แพง

 


หุ้นไทย Mid - Small

เศรษฐกิจไทยในปี 2017 มีแนวโน้มเติบโต ดีขึ้น คาดการณ์ว่า GDP ปี 2017 จะเติบโต 3.4% (TISCO Economic Strategy Unit) โดยได้รับแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยว และการ ลงทุนภาครัฐ เช่น รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์สายพัทยา - มาบตาพุด และ สุวรรณภูมิเฟส 2 รวมทั้งมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล จะเป็นปัจจัย ผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้บริษัทต่างๆ มีผลการดำ เนินงานที่ดี นอกจากนั้นหุ้นกลุ่ม ขนาดกลางและขนาดเล็ก ได้รับผลกระทบ จำกัดจากการที่เงินไหลออกจากประเทศไทย โดยสรุป เราแนะนำจัดพอร์ตเลือกหุ้นที่ แข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตดี เช่น หุ้น S&P500 หุ้น US - Healthcare หุ้นกลุ่มอุปโภค บริโภค หุ้นอินเดีย และหุ้นไทย Mid - Small ซึ่งจะสามารถต้านทานความผันผวนและความ เสี่ยงจากความไม่แน่นอนของปัจจัยทาง เศรษฐกิจและการเมืองที่จะเกิดขึ้น รวมทั้ง สร้างผลตอบแทนที่ดีในปีนี้ได้

 

“รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์สายพัทยา - มาบตาพุด และสุวรรณภูมิเฟส 2 รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มเติมของรัฐบาล จะเป็นปัจจัยผลักดันให้เศรษฐกิจ ของประเทศสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”