file

“ให้ความรู้ก่อนลงทุน” สูตรบริหารความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ของ บล.ทิสโก้

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 40 | คอลัมน์ Exclusive

 

ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นตัวเลือกให้นักลงทุนได้แสวงหาโอกาสในความผันผวน เช่น การลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) หรือแม้แต่สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเหล่านี้ บล.ทิสโก้ มุ่งเน้นให้ความรู้ สร้างความเข้าใจกับลูกค้าพัฒนาเครื่องมือสนับสนุน พร้อมนำเสนอข้อมูลอย่างทันท่วงที เพื่อให้ไม่พลาดในทุก “โอกาส” ของการลงทุน

ทุกความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง ยังมีโอกาสในการลงทุน และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับทุกคนได้เสมอ ถ้าเพียงใช้ศักยภาพของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาช่วยกระจายการลงทุนที่เหมาะสมบนพื้นฐานของความรู้ความเข้าใจ รู้เท่าทันความเสี่ยงของตัวเอง และมีที่ปรึกษาที่ดี คอยแนะนำการลงทุนอย่างผู้เชี่ยวชาญให้

3 กูรูจาก บล.ทิสโก้ “คุณวสันต์ ตั้งควิวิช” หัวหน้ากล่มุ บริการลูกค้าส่วนบุคคล “คุณวิวัฒน์ เตชะพูนผล” รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค และ “คุณวีระ อมรชัยนนท์” หัวหน้าตราสารอนุพันธ์และตลาดหุ้นต่างประเทศ ร่วมบอกเล่าถึงโอกาสของผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่นักลงทุนสามารถนำมาบริหารพอร์ตลงทุนท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความผันผวนได้

โดยหนึ่งผลิตภัณฑ์การเงินที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา คือ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants) หรือ DW ซึ่งเป็น Warrant หรือใบสำคัญแสดงสิทธิชนิดหนึ่ง ที่ซื้อขายกันบนกระดานหลักในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเข้ามาแนะนำตัวกับนักลงทุนชาวไทยไปเมื่อราวปี 2552 ขณะที่ตัวเลขการซื้อขาย DW โดยภาพรวมในตลาดก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องสอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจอนุพันธ์ของ บล.ทิสโก้ ที่เติบโตสูงถึงระดับ 20% มาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

ความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ใหม่ ถูกขยายความให้เข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น โดยทั้งสามบอกเราว่า DW มีลักษณะคล้ายสัญญาอนุพันธ์ คือ เป็นใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อ (Call Option) หรือสิทธิในการขาย (Put Option) หลักทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ตามราคา จำนวนวันและเงื่อนไขในการใช้สิทธิตามที่ผู้ออกกำหนด ซึ่งผู้ออก DW นั้น ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนผู้ออกหุ้นอ้างอิง แต่เป็นธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เท่านั้น

ทำไม DW ถึงค่อนข้างเป็นที่นิยม ผู้บริหาร บล.ทิสโก้ บอกเราว่ามาจากความรู้ความเข้าใจของนักลงทุนที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่คุ้นเคยกับการเล่นหุ้นหลักดีอยู่แล้ว โดยยกตัวอย่าง วิธีการดูการลงทุนใน DW ในหุ้นอ้างอิง PTT (ปตท.) ซึ่งหากใช้สิทธิในการซื้อ (Call) เป็น PTT13CA ถ้าหุ้น PTT วิ่งขึ้นหรือวิ่งลง ตัว DW ที่อ้างอิงหุ้น PTT ก็จะวิ่งขึ้นและลงตามหุ้นหลักไปด้วย

อีกหนึ่งแม่เหล็กดึงดูดความน่าสนใจ คือ หากกลับด้านเป็นการใช้สิทธิ์ในการขาย (Put) หรือ PTT13PA ตัว DW จะวิ่งสวนทางกับหุ้นหลักทันที ดังนั้น DW จึงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สามารถลงทุนได้ทั้งช่วงตลาดขาขึ้นและขาลงนั่นเอง

แม้นักลงทุนสายเก็งกำไร อาจชื่นชอบ DW แต่อย่างไรก็ตามทีมผู้บริหาร บล.ทิสโก้ ย้ำว่า ไม่อยากให้นักลงทุนเข้ามาเพราะต้องการเก็งกำไร และไม่แนะนำให้ทุ่มเงินไปกับการลงทุน DW ทั้ง 100% เพราะต้องยอมรับว่า มีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงมาก จึงควรเป็นการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม โดยอัตราส่วนไม่ควรเกิน 10-20% ของพอร์ตการลงทนุ เพราะหัวใจของ DW นั้น ไม่ใช่แค่การทำกำไรเพียงอย่างเดียวแต่มีไว้เพื่อ “ป้องกันความเสี่ยง” ในพอร์ตการลงทุนของเราด้วย

และเพราะ DW อ้างอิงกับหุ้นหลัก ผู้บริหาร บล.ทิสโก้ จึงให้คำแนะนำว่าการลงทุน DW ต้องวิเคราะห์หุ้นอ้างอิงที่ตนสนใจ โดยศึกษาจากข้อมูลข่าวสารหรือบทวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาของหุ้นอ้างอิงนั้นๆ หากคาดการณ์ว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ ก็ให้นักลงทุนเลือกซื้อ Call หากคาดการณ์ว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวลดลงในอนาคตอันใกล้ ให้นักลงทุนหันมาเลือกซื้อ Put แต่หากคาดการณ์ว่าราคาหุ้นอ้างอิงทรงตัวหรือไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในอนาคตอันใกล้ ก็ให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนใน DW เหล่านี้ เป็นต้น

โดยเริ่มจากเคล็ดลับง่ายๆ เพื่อให้ DW สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจแก่ผู้ลงทุนได้ นั่นคือ ต้องเลือก DW ที่ราคา Bid/Offer (การเสนอซื้อ/การเสนอขาย) ใกล้กันตลอดเวลา เพราะจะทำได้ราคาที่ดีกว่า รวมถึงต้องไม่ลืมดู Effective Gearing (อัตราทด) ซึ่งเป็นความแรงของการเคลื่อนไหวราคา DW เทียบกับหุ้นอ้างอิง หากอยู่ในระดับที่สูง Time Decay (ค่าเสื่อมถอยตามมูลค่าของเวลา) ก็มักจะสูงตามไปด้วย นั่นหมายถึง DW มีอายุคงเหลือไม่มากนักและหากไม่จำเป็นไม่ควรถือ DW จนถึงวันหมดอายุเงินสด เพราะส่วนต่างจากการใช้สิทธิ

 

Bootstrap Image Preview

“เราเน้นลูกค้าระยะยาว ไม่ใช่ต้องการเพียงเข้ามาทำกำไรในช่วงสั้นๆและอยากให้นักลงทุน ลงทุนด้วยความเข้าใจ มีผลตอบแทนที่ดี ไม่ต้องผิดหวังจนต้องหนีหายไปจากตลาด จึงไม่ได้เน้นลูกค้ามือใหม่หัดขับ แต่อยากให้เป็นคนที่เข้าใจการลงทุนและมีประสบการณ์อยู่พอสมควร”

 

Bootstrap Image Preview

“ทิสโก้เชื่อว่าการบริหารพอร์ตของลูกค้าควรมีกำไร ดังนั้นเราจึงพยายามให้ความรู้เขาให้มากที่สุด ให้รู้ความเสี่ยงของตัวเอง มีจุด Stop Loss (หยุดขาดทุน) ที่ชัดเจนเพราะเราอยากให้เป็นลูกค้าทิสโก้ในระยะยาว ถ้าเขามีความรู้ในการลงทุน และสามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ทิสโก้ก็จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเขาด้วย”

 

ต้องเสียภาษี ขณะเดียวกันต้องดูตารางความสัมพันธ์ของราคา DW กับราคาหุ้นแม่ รวมถึงระมัดระวังการถือครอง DW ต้องไม่อยู่ในระดับที่สูงเกินไป เพราะหลายครั้งผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) มีหุ้นไม่เพียงพอที่จะควบคุมราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้ราคา DW ไม่เคลื่อนไหวตามราคาที่ควรจะเป็นได้

ท่ามกลางความน่าสนใจของการลงทุนใน DW ยังมีทางเลือกให้นักลงทุนได้ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตามความสนใจ และสอดคล้องเหมาะสมกับแต่ละคน ไม่ว่าจะ SET50 Index Futures สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่เข้ามาในตลาด มีวอลุ่ม มีสภาพคล่อง และเคยมีการเทรดสูงที่สุดในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) การไปอ้างอิงกับดัชนี SET50 ทำให้การวิเคราะห์ในภาพรวมของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ทำได้ง่ายกว่าการวิเคราะห์หุ้นแบบรายตัว แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง คือ แม้จะมีโอกาสทำกำไรได้มากแต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามก็หนีไม่พ้นต้องขาดทุนเยอะมากเช่นเดียวกันฉะนั้นความรู้ความเข้าใจของนักลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

Single Stock Futures สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของหุ้นรายตัวผลิตภัณฑ์เนื้อหอมที่มีอัตราการเทรดสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ทั้งยังแซงรุ่นพี่ SET50 Index Futures เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบการเก็งกำไรในหุ้นรายตัว และต้องการใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก สามารถเก็งกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง

ผลิตภัณฑ์ต่อมา Gold Futures สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำโลก และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในทองคำเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หนึ่งในความน่าสนใจ เมื่อเปรียบเทียบกับการไปซื้อทองคำเพื่อลงทุน คือ เราไม่ต้องใช้เงินเต็มจำนวน แต่สามารถใช้เงินเพียงบางส่วนเพื่อเก็งกำไรเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ ทสำคัญไม่ต้องกลัวถูกโจรกรรม เพราะไม่มีการส่งมอบสินค้าที่เป็นทองจริงๆ ขณะที่ต้นทุนในการทำธุรกรรมก็น้อยกว่าค่าคอมมิชชั่นเมื่อเทียบกับเดินทางไปซื้อทองเองก็ถูกกว่าอีกด้วย

และสุดท้าย USD Futures สัญญาซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯล่วงหน้า ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นทุนเดิม รวมถึงกลุ่มผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกที่สามารถหาผลตอบแทนจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ แต่ทว่าด้วยสภาวการณ์ปัจจุบันพบว่า สภาพคล่องในตลาดมีไม่สูงมากนักและคนยังไม่นิยมเท่ากับ 3 ตัวแรก

นอกจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ สอดรับความต้องการของผู้ลงทุน ทิสโก้ยังมุ่งพัฒนาการทำงานหลังบ้านให้แข็งแกร่งอยู่เสมอพร้อมสนับสนุนเครื่องมือ และข้อมูลการลงทุน เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ซึ่งหนึ่งจุดเด่นที่รักษาความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนไว้ได้คือการที่ทิสโก้มีบทวิเคราะห์วิจัยที่แม่นยำ มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการยอมรับในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม ทั้งยังได้รางวัลการันตีความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาบทวิเคราะห์ต่างๆ ถูกสั่งสมเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และมีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลูกค้าได้ข้อมูลที่ดีที่สุดไปใช้ประกอบการตัดสินใจในทุกจังหวะของการลงทุนจนกลายเป็นลูกค้าคนสำคัญในระยะยาวของทิสโก้

“เราเน้นลูกค้าระยะยาว ไม่ใช่ต้องการเพียงเข้ามาทำกำไรในช่วงสั้นๆและอยากให้นักลงทุน ลงทุนด้วยความเข้าใจ มีผลตอบแทนที่ดี ไม่ต้องผิดหวังจนต้องหนีหายไปจากตลาด จึงไม่ได้เน้นลูกค้ามือใหม่หัดขับแต่อยากให้เป็นคนที่เข้าใจการลงทุนและมีประสบการณ์อยู่พอสมควร” ด้วยวิสัยทัศน์ดังกล่าวข้างต้น นำมาสู่แนวทางบ่มเพาะความรู้ความเข้าใจก่อนการลงทุนให้กับลูกค้าของทิสโก้ โดยผู้ที่จะเข้ามาเปิดพอร์ต

ลงทุนกับทิสโก้ หากยังไม่มีความรู้ก็จะมีการจัดอบรมเพื่อเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจผ่านหลักสูตรต่างๆ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนความรู้ในเชิงลึก ทั้งยังมีคู่มือการลงทุน มีการจัดสัมมนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มแต้มต่อด้วยข้อมูลและเสริมประสบการณ์การลงทุนก่อนไปต่อสู้ในตลาดจริงได้ ขณะผู้สนใจในตัว DW โดยเฉพาะทิสโก้ยังเปิดกลุ่มที่ชื่อ Derivatives CLUB หรือ “D CLUB” ชมรมของคนที่สนใจในการลงทุนตราสารอนุพันธ์ ให้สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้คือการทำงานแบบทิสโก้ ที่มีความสำเร็จและความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเป็นเป้าหมาย

“คลับนี้ จะเป็นเหมือนช่องทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันไม่เฉพาะเรากับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลูกค้ากับลูกค้าเองด้วยเนื่องจากเขาเป็นนักลงทุนเหมือนๆ กัน ดังนั้นการได้รู้จักกัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องการลงทุนระหว่างกัน ก็อาจช่วยให้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และยังขยายวงออกไปในเรื่องธุรกิจของเขาเองได้อีกด้วย”

ขณะเดียวกัน ยังพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนยุคใหม่ รองรับการมาถึงของ Fin Tech โดยวันนี้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการจากทิสโก้ได้ง่ายๆ ผ่านทาง สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์พีซี อย่างเช่น Stock Scan โปรแกรมที่ช่วยให้ลูกค้าทิสโก้ค้นหาหุ้นเด่นได้ด้วยตัวเอง ช่วยให้มีข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือโปรแกรม Click 2 Win ที่ทำขึ้นสำหรับมือใหม่

หัดเล่นหุ้นโดยเฉพาะ โดยสามารถมาทดลองเทรดหุ้นได้ จนมีความรู้ความเข้าใจ ใช้เป็น และมั่นใจว่ามีโอกาสทำกำไรได้ ก็ค่อยลงสนามจริงหนึ่งหัวใจสำคัญ เบื้องหลังการทำงานแบบทิสโก้ คือเหล่าทีมงานมืออาชีพ ที่เต็มพร้อมด้วยประสบการณ์ สามารถให้คำแนะนำแก่นักลงทุนได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ทำให้ไม่เสียโอกาสในทุกจังหวะของการลงทุน

“ทิสโก้เชื่อว่า การบริหารพอร์ตของลูกค้าควรมีกำไร ดังนั้นเราจึงพยายามให้ความรู้เขาให้มากที่สุด ให้รู้ความเสี่ยงของตัวเอง มีจุด Stop Loss (หยุดขาดทุน) ที่ชัดเจน เพราะเราอยากให้เป็นลูกค้าทิสโก้ในระยะยาว ซึ่งเมื่อเขามีความรู้ในการลงทุน และสามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นลูกค้าในระยะยาวของเราได้ ทิสโก้ก็จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเขาด้วย”

นี่คือตัวอย่างของการทำธุรกิจแบบทิสโก้ ที่ไม่ได้ตั้งธงจากตัวเลขการเติบโต แต่เริ่มจากความปรารถนาดีที่มีต่อลูกค้า เพื่อหวังเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับพวกเขา

 

Bootstrap Image Preview

 

ในมุมการลงทุนในปี 2560 บล.ทิสโก้ มองว่าในปีนี้ตลาดหุ้นโลกได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นหลายแห่ง อย่างเช่น Dow Jones, Nasdaq และ S&P500 ในสหรัฐฯ หรือ FTSE ในอังกฤษและ DAX ในเยอรมนี ได้ปรับขึ้นไปสูงมากจนทำ All Time High จากมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Donald Trump อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับฐานลงอีกครั้ง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เมื่อ 15 มี.ค. ที่ผ่านมาล่าสุด เมื่อกฎหมาย American Healthcare ไม่ผ่านสภาล่างของสหรัฐฯ (House of Representatives) ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (US Dollar Index) ปรับตัวลดลง 99.20 จุด ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในรอบหนึ่งปีครึ่งที่ 34.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และทำให้ Fund Flow เริ่มไหลกลับเข้าลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เพิ่มขึ้น เช่น ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย รวมถึงตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ซึ่งมี Valuation ยังถูก “จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าตลาดหุ้นไทยในปีนี้ จะอยู่ในภาวะ Sideway Upคือ ‘ทรงตัว’ กับ ‘ปรับขึ้น’ ในกรอบ 1,500 - 1,650 จุด เฉพาะในเดือน เม.ย. คาดว่า SET จะ Sideway Up ขึ้นจากแนวรับที่ 1,550 จุด สู่เป้าหมายที่ 1,600 จุด จึงแนะนำกลยุทธ์ ‘ซื้อสะสม’ ที่แนวรับ 1,565 จุด และ 1,555 จุด แล้วถือรอเป้าหมายที่ 1,650 จุด โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 1,580 จุด ดังนั้นหาก SET Index ปิดเหนือจุดดังกล่าวได้ จึงเป็นสัญญาณซื้อเพิ่ม โดยหุ้นที่ Outperform ทางเทคนิค ได้แก่ KTB, BBL, DTAC, JWD, BA, PSH และ MFEC” ในทางกลับกัน กรณีแย่กว่าที่คาด สัญญาณขายเพื่อตัดขาดทุน (Sell Signal) จะเริ่มขึ้นหาก SET ปิดลงต่ำกว่า 1,550 จุด และปรับลงสู่ระดับ 1,528 และ 1,500 จุด โดยมีปัจจัยลบที่ต้องจับตาคือ ดัชนี Dow Jones อาจ ‘ทรงตัว’ หรือ ‘ปรับลง’ จากภาวะ Overbought ในขณะนี้ ซึ่งจะฉุดให้ตลาดหุ้นยุโรป ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ลงตามไปด้วย แต่เชื่อว่า SET Index จะได้รับผลกระทบน้อยจาก Fund Flow ไหลเข้า