file

ล่องเรือใบโล้คลื่น “อ่าวพังงา” เที่ยวเนิบช้ากลางทะเลอันดามัน

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 44 | คอลัมน์ Going Away

ในยุคนี้ “การท่องเที่ยวแบบเนิบช้า” หรือ Slow Travel กำลังมาแรง ผู้คนต่างค้นหาสถานที่สงบ ธรรมชาติสวยงาม เพื่อเป็นจุดหมายในการพักผ่อน การล่องเรือเที่ยวชมทะเลก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของ Slow Travel ที่ทั่วโลกนิยมกัน ผมเลยอยากชวนทุกท่านไปล่องเรือใบใน “อ่าวพังงา” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความประทับใจของทริปเที่ยวทะเลอันดามันในครั้งนี้

ณ ท่าเรือ Yacht Haven Marina แหลมพร้าวในจังหวัดภูเก็ต เป็นท่าจอดเรือขนาดใหญ่ที่มหาเศรษฐีจากทั่วโลกมาเช่าสถานที่จอดเรือยอร์ชไว้เป็นร้อยๆ ลำผมเดินตรงไปที่เรือใบลำใหญ่ชื่อ จูนภัทรา (June Bahtra) ของบริษัท Asian Oasis ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในการพานักท่องเที่ยวล่องเรือในแม่น้ำโขงของประเทศลาว รวมถึงอ่าวพังงาอันสวยงามของไทย

ผมยืนมองเรือสำเภาลำใหญ่ที่ท่าเทียบเรือมันเป็นเรือสำเภาไม้จุผู้โดยสารได้สัก 20 คน แต่กัปตันบอกว่าเพื่อความปลอดภัย ทุกทริปจึงพาผู้โดยสารไปไม่เกิน 10 คน พร้อมลูกเรือ 2 คน และพ่อครัว 1 คน อีกทั้งอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ทั้งเสื้อชูชีพ ห่วงยางช่วยชีวิตและเรือยางติดเครื่องยนต์ (เรียกว่า เรือดิงกี้แบบที่นักดำน้ำใช้กัน) พ่วงท้ายเรือไปด้วยผมขึ้นเรือไปจับจองที่บนเบาะม้านั่งยาว ท้ายเรือ ซึ่งเป็นจุดเปิดโล่ง มองเห็นวิวสวยๆ ชัดเจน เรือค่อยๆ เร่งเครื่องแล่นออกสู่เวิ้งทะเลเบื้องหน้า นั่นคือ ‘อ่าวพังงา’ ซึ่งเต็มไปด้วยหมู่เกาะกว่า 42 เกาะในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา เป็นบริเวณที่มีป่าชายเลนผืนใหญ่ที่สุดในเมืองไทยอยู่ด้วย หรือกินพื้นที่กว้างขวางกว่า 190,000 ไร่

หลายคนอาจสงสัยว่าเที่ยวอ่าวพังงา แต่ทำไมไปลงเรือที่ภูเก็ต? ทีแรกผมก็งง แต่มาถึงบางอ้อเอาตอนหลังว่า จากหัวเกาะภูเก็ตด้านตะวันออกซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสะพานสารสินมุ่งหน้าไปทางตะวันออกประมาณ 1 ชม. ก็ถึงบริเวณอ่าวพังงาแล้ว ถือว่าใกล้มาก เรือทัวร์ส่วนใหญ่จึงแล่นออกไปจากภูเก็ต

 

file

 

วันนี้แดดไม่ร้อน น้ำทะเลเป็นสีเขียวอ่อนๆ ตามสไตล์ของอ่าวพังงาที่ระดับน้ำไม่ลึกนักคลื่นลมสงบ เรือจูนภัทราเลยเร่งเครื่องเดินหน้าเต็มที่ ไม่นานนักก็มีเจ้าโลมาน้อยว่ายน้ำมาอยู่ที่หัวเรือ นำเราออกสู่ทะเลกว้าง ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นไปถ่ายรูปเจ้าโลมากันยกใหญ่ผมเปลี่ยนที่นั่งจากท้ายเรือมาอยู่บริเวณหัวเรือ เห็นใบเรือของจูนภัทราที่เริ่มกางใบสีแดงโล้ลมโต้คลื่นช่วยให้เรือแล่นเร็วขึ้น

 

ความน่าตื่นตาที่ประจักษ์อยู่ตอนนี้ คือเกาะหินปูนน้อยใหญ่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าลักษณะคล้ายอ่าวฮาลองเบย์ในเวียดนามไม่มีผิด แต่ของไทยเราก็งามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย การที่อ่าวพังงามีเกาะหินปูนยิ่งใหญ่งดงามถึงเพียงนี้ เพราะอ่าวพังงามีลักษณะเป็น Marine Karst หรือเกาะหินปูนกลางทะเล เกิดจากการพังถล่มหรือยุบตัวของเปลือกโลกแล้วถูกคลื่นลมกัดเซาะเป็น เวลานานนับล้านๆ ปีจนมีรูปร่างแปลกพิสดาร เรียงรายกันอยู่ในน้ำทะเลสีเขียวมรกต ซึ่งทั่วโลกยกย่องว่า อ่าวพังงา เป็นเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่มี Marine Karst สวยที่สุด

พอล่องเรือใบชมวิวมาได้สักพักก็มาถึง ‘เกาะพนัก’ เกาะหินปูนขนาดใหญ่ที่งดงามไป ด้วยหลืบถ้ำหินงอกหินย้อยลงทะเล บนยอดเขาสูงของเกาะยังมีต้นไม้เขียวๆ ปกคลุมอยู่ทั่วไป ลวดลายสีสันของเพิงผาหินปูนตั้งชันเหล่านั้นน่ามองมากราวกับมีใครใช้พู่กันยักษ์จุ่มสีไปวาดไว้ เพราะมีทั้งสีขาว สีดำสีเทาและสีส้ม พาดเป็นทางไปมา ไม่นานนักเรือก็แล่นผ่าน ‘เกาะห้อง’ (ที่จังหวัดกระบี่ก็มีเกาะห้องเหมือนกัน อย่าเข้าใจผิดนะ) เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนกำลังพายเรือคายัคลอดเข้าไปในลากูนใหญ่ก ลางเกาะห้องเหมือนการผจญภัยเข้าไปในโลกลับแลกลางทะเล น่าตื่นเต้นดี เราสามารถพายเรือลอดเข้าไปได้ตรงช่องแคบเล็กๆ มีเพิงผาหินปูนล้อม แล้วพายเรือลอดกลับออกมาอีกทางหนึ่ง คนเรือบอกว่าในวันที่น้ำลงจะสามารถลงไปเดินสำรวจเกาะได้ด้วย

 

file

 

ตอนนี้เที่ยงตรงพอดี กลิ่นอาหารหอมๆ ที่พ่อครัวประจำเรือบรรจงปรุงขึ้นก็ลอยมาเตะจมูก ลูกเรือเดินมาเตือนว่าให้กินแต่พอดีอย่าอิ่มเกินไป เพราะอีกเดี๋ยวต้องเปลี่ยนไปลงเรือหางยาวเพื่อล่องไปเที่ยวถ้ำลอด เขาตาปูเขาพิงกัน และเกาะปันหยี เรือเล็กมันจะโคลงกว่าเรือใบลำนี้ จึงอาจเมาคลื่นได้ถ้าไม่ชิน

นั่งพักพอให้ข้าวเรียงเม็ด เรือหางยาวลำไม่เล็กไม่ใหญ่ก็มาเทียบข้างเรือใบ นำเราไปชมป่าชายเลนแถวๆ
‘ถ้ำลอด’ ผมว่าเป็นจุดที่น่าตื่นเต้นดี เพราะเรือของเราสามารถแล่นช้าๆ ลอดเข้าไปในถ้ำมืดสนิทกลางทะเลได้เลย มองออกไปตรงปากถ้ำเห็นหินย้อยก้อนมหึมาย้อยลงจากเพดานถ้ำขวาง หน้าเรือไว้ ส่วนนอกปากถ้ำก็มีกลุ่มเรือคายักของนักท่องเที่ยวลอยลำอยู่เป็นกลุ่มๆ ทำให้รู้สึกไม่เหงาเลยสักนิด

เรือแล่นต่อไปสู่ไฮไลท์ของการท่องเที่ยวก็คือ ‘เขาตาปู’ และ ‘เขาพิงกัน’ เป็นเกาะหินปูนขนาดใหญ่ที่ถูกกาลเวลาและคลื่นลมกัดเซาะจนพังถล่มลงมา บริเวณเขาพิงกันมีลักษณะเป็นผาหินถล่ม ด้านหนึ่งตัดเรียบเหมือนถูกมีดยักษ์เฉือนออกไป เลยเอนพิงอยู่กับผาหินอีกด้าน สามารถเดินลอดเข้าไปข้างใต้ได้ จากจุดนี้เดินไปอีกแค่หนึ่งอึดใจก็ถึงหลังเกาะ มองออกไปเห็นเขาตาปูเป็นแท่งหินขนาดยักษ์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางทะเล เขาตาปูมีนิกเนมสุดเท่ว่า ‘เกาะเจมส์ บอนด์’ เพราะในอดีตเคยใช้เป็นโลเกชั่นถ่ายหนังเรื่อง เจมส์ บอนด์ 007 มาแล้ว คนทั่วโลกเลยรู้จัก และอยากมาชม

 

file

 

เวลาผ่านไปไวมาก ผมรีบออกจากเขาตาปูและเขาพิงกัน หันหัวเรือหางยาวแล่นไปยัง ‘เกาะปันหยี’ กลุ่มหมู่บ้านกลางน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย โดยเป็นชุมชนชาวมุสลิมที่อพยพมาจากอินโดนีเซียเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผมขึ้นเกาะทางด้านหลัง จึงแลเห็นมัสยิดโดมสีทองอร่าม มีสนามฟุตบอลลอยน้ำ แห่งเดียวในไทย ซึ่งเด็กๆ จะมาเตะฟุตบอลกันทุกเย็น จากท่าเรือเดินลัดเลาะเข้าไปในชุมชน ทักทายผู้คนเปี่ยมมิตรไมตรี มีร้านของที่ระลึกอย่างสร้อยไข่มุกในราคาถูกเหลือเชื่อ นับเป็นสินค้าท้องถิ่นที่ต้องบอกว่า ใครมาแล้วไม่ซื้อจะเสียใจ

ผมใช้เวลาเดินทอดน่องเนิบช้าอยู่บนเกาะปันหยีนานเป็นชั่วโมงนี่คือเวลาแห่งความสุขที่ผ่านไป อย่างรวดเร็ว มองเข็มนาฬิกาใกล้หกโมงเย็นเข้าไปทุกที ขณะที่เรือใบแล่นใกล้ถึงท่าเทียบเรือเกาะภูเก็ต จุดที่เราจากมาเมื่อเช้านี้ วันนี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ น่าประทับใจ มาด้วยนับไม่ถ้วน คงจะดีไม่น้อยถ้าคุณได้ไปสัมผัสทริปสนุกๆ แบบนี้ด้วยตัวเองกับการ ‘ล่องเรือใบโล้คลื่นในอ่าวพังงา’
 

อ่าวพังงา เที่ยวได้ ไม่ยาก

ฤดูท่องเที่ยว : เที่ยวได้ตลอดปี คลื่นลมสงบที่สุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน - เมษายน

การเดินทาง : จากกรุงเทพฯ บินตรงสู่ภูเก็ตได้ทุกวัน ส่วนการเดินทางจากที่พักไปท่าเรือ Yacht Haven Marina แหลมพร้าว เพื่อลงเรือ June Bahtra มีบริการรถตู้ซึ่งรวมอยู่ในแพ็กเกจอยู่แล้ว เรือรับ ผู้โดยสารได้เที่ยวละไม่เกิน 10 คน แพ็กเกจ One Day Trip เริ่มเวลา 07.00 - 18.00 น. ล่องไปอ่าวพังงา, เกาะปันหยี,
เขาตาปู, เขาพิงกัน, เกาะห้อง, เกาะพนัก, ถ้ำลอดขากลับมีจอดแวะให้เล่นน้ำประมาณ 15 นาที

ติดต่อ : โทร. 08 3540 9529, 08 8809 7047, 08 1496 4516 หรือเว็บไซต์ www.asianoasis.com