file

Wonderful Chile

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 44 | คอลัมน์ Horizon

ปีสองปีมานี่ ประเทศชิลี (Chile) คือจุดหมายปลายทางที่โพลทุกสำนักเทคะแนนให้อย่างไม่ได้ นัดหมายแต่บรรดานักเดินทางเราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าชิลีนั้นเลอค่าน่าเที่ยวแค่ไหน ชิลีมีทั้งความมหัศจรรย์ ทางธรรมชาติรออยู่ที่ ปาตาโกเนีย(Patagonia) มีทั้งเรื่องราวเร้นลับของเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) มีเมืองมากสีสันอย่างบัลพาไรโซ (Valparaiso) แม้กระทั่งเมืองหลวงอย่าง ซันติอาโก (Santiago) ก็ยังมีเสน่ห์น่าหลงใหลเลย TRUST เล่มนี้จึงอยากชวนคุณไปทำความรู้จักกับดินแดนเจ้าเสน่ห์อย่างชิลีให้มากขึ้น
 

file


Santiago เสน่ห์แห่งเมืองหลวง

ซันติอาโกได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่เจริญในอเมริกาใต้ แค่ในเขตเมืองเก่ายังมีเสน่ห์เย้ายวนไปทั่ว ลองไปตั้งหลักที่จัตุรัสอาร์มาส (Plaza de Armas) มุมที่เป็นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของประเทศ และยังเป็นศูนย์กลางของเมืองที่ห้อมล้อมไว้ด้วยอาคารสำคัญๆ ริมจัตุรัสมีงานประติมากรรมแปลกๆ เป็นรูปใบหน้าคนขนาดใหญ่ นี่คืออนุสาวรีย์คนพื้นเมืองของชาวชิลีที่ว่ากันว่า ดั้งเดิมเป็นพวกชาวอินเดียน อีกมุมหนึ่งของจัตุรัสเป็นรูปปั้นของ
เปโดร เด บัลดิเบีย (Pedro de Valdivia) นายทหารชาวสเปนที่นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่าผ่าเผย เขาเป็นผู้ก่อร่างสร้างเมืองซันติอาโกเมื่อกลางศตวรรษที่ 16 โดยให้มุมนี้เป็นทั้งที่ฝึกวิทยายุทธทางการทหาร และบางวันให้เป็นมุมแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าแก่ชาวเมือง รอบด้านล้วนแต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญของซันติอาโกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ไปรษณีย์กลาง แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือมหาวิหารแห่งซันติอาโก (Santiago Cathedral) ด้านหน้าของมหาวิหารแห่งนี้มี ประตูไม้แกะสลักอย่างงดงาม ส่วนด้านในมีการตกแต่งที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในละตินอเมริกาโดยเฉพาะ พวกกระจกสีที่ประดับอยู่รวมถึงบนเพดานที่สวยคลาสสิก และภายในมีแท่นบูชาทำจากหินอ่อน

ยังมีเนินเขาซานตา ลูเซีย (Santa Lucia Hill) ที่เมื่อเดินไต่เขาขึ้นไปถึงด้านบนแล้วมองลงมาจะสามารถมองเห็นซันติอาโกได้ทั้งเมืองอาคารบ้านเรือนแน่นขนัดหุบเขา ไม่น่าเชื่อว่าสมัยสร้างเมืองใหม่ๆ จะมีบ้านเรือนแค่ราว 200 หลัง มีชาวเมืองและชาวสเปนมาอาศัยอยู่ไม่ถึง 2,000 คนเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ซันติอาโกมีผู้คนอาศัยอยู่เกือบ 7 ล้านคนแล้ว

ในย่านใจกลางเมืองเก่านั้นยังมีอาคารศาลฎีกาที่เป็นศิลปะแบบกรีก - โรมัน เรียกว่าโดดเด่นเป็นสง่ามาก แต่ที่ภูมิฐานที่สุดในกรุงซันติอาโก คงต้องยกให้ลา โมเนดา (La Moneda) หรือโรงกษาปณ์ อาคารสไตล์นีโอคลาสสิกซึ่งสร้างขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เดิมทีเคยใช้เป็นโรงกษาปณ์ แต่ทุกวันนี้เป็นที่ทำงานของประธานาธิบดี และรอบๆ มีอาคารสำคัญของรัฐบาลห้อมล้อมไว้ไม่ว่าจะเป็นกระทรวง ทบวง กรม และศาล ในช่วง 10 โมงเช้าแถวนี้จะคึกคักมากเพราะมีพิธีเปลี่ยนทหารยามรักษาการณ์ทุกวัน

ใครอยากเห็นสีสันของซันติอาโกอย่าลืมแวะไปตลาดประจำเมือง (Central Market) ในตลาดมีร้านขายปลาสดและอาหารทะเลแทบทุกชนิด นั่นเพราะซานติอาโกอยู่ใกล้มหาสมุทรแปซิฟิก พวกอาหารทะเลเลยค่อนข้างอุดมสมบูรณ์...นี่แค่เมืองหลวงอย่างซันติอาโก ลองไปดูมุมอื่นของชิลีแล้วจะรู้ว่าอะเมซิ่งเหลือเกิน
 

file


Valparaiso เมืองริมทะเลสีสันฉูดฉาด

ชิลีมีเมืองสีฉูดฉาดอย่างบัลพาไรโซ (Valparaiso) ไม่ว่าจะซอกแซกไปมุมไหนก็มากไปด้วยสีสัน เมืองริมมหาสมุทรแปซิฟิกนี้เป็นหนึ่งในเมืองท่าสำคัญของชิลี เป็นทั้งเมืองท่า เมืองอุตสาหกรรม และเมืองท่องเที่ยวสมัยก่อนตอนสเปนเข้ามาครอบครอง บัลพาไรโซเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ มีไม่กี่หลังคาเรือน แต่ ตอนนี้ภูเขาทั้งลูกเป็นสีสันไปทุกอณู จากคนหลักร้อย ตอนนี้ทั่วทั้งบัลพาไรโซมีคนอยู่เกือบ 300,000 คน ถึงจะเปลี่ยนไปเยอะ แต่ในแถบเมืองเก่าเขายังทะนุถนอมความเป็นอดีตเอาไว้อย่างดี จนองค์การยูเนสโกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี 2003

ในย่านเมืองเก่าของบัลพาไรโซนั้นโรแมนติกหาตัวจับยาก ที่นี่พวกกวีและศิลปินชอบมาฝังตัวอยู่ แม้แต่กวีชาวชิลีผู้คว้ารางวัลโนเบลอย่างปาโบล เนรูดา (Pablo Neruda) ก็ยังมีบ้านพักอยู่ที่นี่ เนรูดาตั้งบ้านหลังนี้ของเขาให้ชื่อเซบาสเตียนา (La Sebastiana) ตามชื่อเจ้าของโครงการก่อสร้างบ้าน บนระเบียงมองออกไปจากบ้านจะเห็นมหาสมุทรแปซิฟิกและท้องฟ้าสีครามได้อย่างเต็มตา แต่เมื่อตอนเกิดแผ่นดินไหวปี 1960 บ้านหลังนี้ก็ได้รับผลกระทบไม่ใช่น้อย หลังจากผ่านพ้นทั้งแผ่นดินไหวและภัยทางการเมือง ทุกวันนี้บ้านของเขาทั้งในซันติอาโกและบัลพาไรโซถูกแปลงสภาพเป็น พิพิธภัณฑ์แสดงทรัพย์สมบัติส่วนตัวและของสะสมของเขา

นอกจากสีสันและความโรแมนติกที่โอบล้อมเมืองเก่าบัลพาไรโซเอาไว้ ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่จัดว่าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวบัลพาไร โซได้น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือกระเช้าที่ชาวเมืองใช้โดยสารกันในชีวิตประจำวัน หากลองขึ้นกระเช้าลงจากเนินเขามาสู่ด้านล่างของเมือง ก็จะพบว่าตัวเมืองบัลพาไรโซมีอีกหลายมุมที่น่ารัก อย่างน้อยก็ตรงจัตุรัสจัสติเซีย (Plaza de la Justicia) ลานกว้างที่แวดล้อมไว้ด้วยอาคารสำคัญ เช่น พระราชวังเก่าศาล และอนุสาวรีย์วีรบุรุษของชาวบัลพาไรโซที่ตั้งอยู่ตรงกลางจัตุรัส

อีกมุมหนึ่งของบัลพาไรโซที่ฉายภาพให้เห็นความน่าชมของเมืองคือถนนที่ผ่าใจกลางเมืองมุ่งหน้าไปสู่จัตุรัสวิกทอเรีย (Plaza de la Victoria) ผ่านทั้งตลาดผักผลไม้ที่น่าเสียสตางค์และพวกอาคารบ้านเรือน ก็ดูมีสีสันสดใสไม่แพ้ย่านเมืองเก่า สุดทางอยู่ที่จัตุรัสวิกทอเรีย ลานเหลี่ยมขนาดเล็กใจกลางเมืองที่คับคั่งไปด้วยชีวิตชีวา ตรงกลางมีลานน้ำพุสวยงาม ว่ากันว่าอุปกรณ์ตกแต่งน้ำพุทุกอย่างอิมพอร์ตมาจากฝรั่งเศส รอบๆ มีเก้าอี้นั่งที่แทบไม่มีมุมไหนว่าง ผู้คนที่นี่นิยมออกมานั่งเล่นกันตามจัตุรัสและสวนสาธารณะ ยิ่งเป็นช่วงเย็นๆ ก็จะมีพวกพ่อค้าแม่ค้านำของแฮนด์เมดออกมาวางขายกันเต็มไปหมดนี่ คือเมืองฉ่ำสีสันที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงชิลี
 

file


Easter Island ดินแดนแห่งโมอาย

ซัอาจจะต้องเหาะเหินเดินอากาศไปไกล แต่เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือภาษาสเปนเรียกว่า อิสลา เดอ ปาสกัว (Isla de Pascua) นั้นเป็นเกาะที่นักเดินทางทุกคนปรารถนาจะไปหา ที่มาของชื่อเกาะมาจากช่วงศตวรรษที่ 18 นักเดินเรือชาวดัตช์ซึ่งถือเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกได้เดินเรือมาพบเกาะนี้ ตรงกับวัน อีสเตอร์พอดี จึงเรียกเกาะนี้ว่าเกาะอีสเตอร์ที่ผู้คนคนอยากมาที่นี่เพราะอยากรู้ว่ารูปปั้นหินรูปร่างคล้ายคนเหล่านี้อยู่บนเกาะนี้ได้อย่างไรกันนะ ใครสร้างพวกมันขึ้นมา และอยู่กันมานานเท่าไรแล้ว

ว่ากันว่ารูปปั้นโมอายเกือบ 1,000 ตัวนี้ถูกสร้างและแกะสลักโดยชาวโพลินีเซียน (Polynesians) ที่อาศัยอยู่บนเกาะเมื่อ 1,000 กว่าปีก่อน ส่วนเรื่องเหตุผลในการสร้างโมอายอาจจะมีหลายอย่างบ้างก็ว่าสร้างเพื่อเป็นตัวแทนถึงปู่ย่าตายายในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว หรืออาจจะเป็นคนสำคัญหรือผู้หลักผู้ใหญ่ของเกาะ
นั่นอาจเป็นเพราะพวกชาวเกาะพากันเชื่อว่ารูปปั้นโมอายจะช่วยปกปักรักษาจิตวิญญาณของหัวหน้าเผ่าและหัวหน้าครอบครัวเอาไว้ ซึ่งท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะทำให้สิ่งดีๆ อยู่กับเกาะตลอดไป ทั้งเรื่องข้าวปลาอาหาร
ดินฟ้าอากาศและบางเรื่องราวของโมอาย ดูเหมือนรูปปั้นหินแกะสลักที่อยู่ตรงหน้าก็ดูน่าสนใจขึ้นอีกเยอะ

หลายมุมในเกาะอีสเตอร์ที่มีรูปปั้นให้ดู แต่จุดหลักๆ อยู่ที่ทงการิกิ (Tongariki) มุมที่มีรูปปั้นโมอายยืนเรียงรายกัน 15 ตัวหันหลังให้ทะเล เดิมทีโมอายพวกนี้ไม่ได้ยืนเด่นตระหง่านอย่างนี้ แต่ล้มระเนระนาดในช่วงสงครามระหว่างชนเผ่า แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาเจอคลื่นยักษ์สึนามิถล่มอย่างหนักเมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมาอีกจนกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนี้ แต่เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมาบริษัทญี่ปุ่นได้ทำโครงการฟื้นคืนชีพโมอาย ใช้รถเครนจากญี่ปุ่นมากู้โมอายให้ตั้งขึ้น ภายใต้การดูแลของนักโบราณคดีชั้นนำใช้เวลาเกือบ 4 ปีโมอาย 15 ตัวก็ฟื้นคืนชีพมาตั้งอยู่ริมอ่าวทงการิกิได้เหมือนเช่นทุกวันนี้

รูปปั้นโมอายที่เห็นอยู่ทั่วเกาะ เกือบทั้งหมดทำมาจากเหมืองหินที่ปากปล่องภูเขาไฟราโน ราราคู (Rano Raraku) ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติราปานุย (Rapa Nui National Park) มุมนี้จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ ควรไป โมอายเกือบครึ่งหนึ่งที่พบบนเกาะอีสเตอร์อยู่ที่นี่ก็คงไม่ผิด ที่นี่มีทั้งโมอายที่แกะสลักเสร็จแล้ว และถ้าเดินไต่เขาขึ้นไปในบริเวณถ้ำก็จะพบกับโมอายบางตัวที่อยู่ระหว่างการแกะสลักแต่ยังไม่เสร็จ รูปปั้นหิน โมอายเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวโพลินีเซียนที่เริ่มสร้างโมอายกันตั้งแต่ ปลายศตวรรษที่ 4 และเริ่มจากแกะหินบะซอลต์เป็นรูปสลักคนนั่งคุกเข่า ยังมีอีกหลายมุมบนเกาะที่สามารถตามรอยโมอายได้ ค่อยๆ สำรวจไปเรื่อยๆ จะเข้าใจเลยว่าทำไมเกาะนี้ถึงเนื้อหอมที่สุดในชิลี
 

file


Patagonia สวรรค์ของนักปีนเขา

ปาตาโกเนียกินพื้นที่ทั้งฝั่งอาร์เจนตินาและชิลี ในฝั่งชิลีนั้นนักเดินทางต่างดั้นด้นไปหาอุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปเน (Torres del Paine) ที่ซึ่งมีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติรออยู่ มาถึงที่นี่ก็จะเจอรีเซฟชั่นอย่างฝูงกัวนาโค (Guanaco) สัตว์ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายไปทางอัลปาคาและพวกลามะ นั่นเอง ตามสถิติแล้วในแถบละตินอเมริกามีกัวนาโคราว 500,000 ตัว แต่ที่อุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปเน (Torres del Paine National Park) จัดว่ามีเยอะมาก ภายในอุทยานฯ มีหลายมุมให้สำรวจ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบอะมาร์กา (Laguna Amarga) ทะเลสาบเพเว (Laguna Pehoe) และน้ำตกซัลโตแกรนด์ (Salto Grande) ที่แต่ละมุมมีเส้นทางเทรกกิ้งสำหรับนักเดินเขา

แต่ไฮไลต์ของคนมาที่นี่อยู่ที่มิราดอร์ตอร์เรส (Mirador Torres) ที่ต้องเดินเท้าขึ้น เขาไปหายอด Three Tower ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติตอร์เรส เดล ไปเน อาจต้องออกแรงผจญภัยกันนิดหน่อย แต่พูดเลยว่าอุทยานแห่งชาติตอร์เรสเดลไปเนจะทำให้นักเดินทางทุกคน จากมาอย่างมีความสุข
 

file