file

Exploring Lofoten Islands

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 45 | คอลัมน์ Horizon

ไอซ์แลนด์ดูเหมือนจะเป็นแค่อดีตแห่งความยอดนิยมไปเสียแล้ว เพราะทุกวันนี้นักเดินทางที่ปรารถนาจะดั้นด้นไปล่าแสงเหนือ พวกเขาพากันมุ่งหน้าไปหาหมู่เกาะโลโฟเท็น (Lofoten Islands) ที่อยู่ทางตอนเหนือของนอร์เวย์ (Norway) ด้วยภูมิประเทศของหมู่เกาะโลโฟเท็น ซึ่งเป็นภูเขาหินแกรนิตที่ถูกคลุมไว้ด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี แถมมีความโดดเด่นอยู่กลางทะเลนอร์วีเจียน เพราะทิวเขาหินแกรนิต ตั้งตระหง่านเรียงรายเหนือผืนน้ำอันเรียบนิ่งอย่างงดงาม จนบรรดาช่างภาพยกให้เป็นนางแบบที่ขึ้นกล้องแห่ง พ.ศ. นี้

ด้วยภูมิประเทศของหมู่เกาะโลโฟเท็น ซึ่งเป็นภูเขาหินแกรนิตที่ถูกคลุมไว้ด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี แถมมีความโดดเด่นอยู่กลางทะเลนอร์วีเจียน เพราะทิวเขาหินแกรนิต ตั้งตระหง่านเรียงรายเหนือผืนน้ำอันเรียบนิ่งอย่างงดงาม จนบรรดาช่างภาพยกให้เป็นนางแบบที่ขึ้นกล้องแห่ง พ.ศ. นี้

หมู่เกาะโลโฟเท็นโดดเด่นกว่าเกาะอื่นๆ ตรงที่มีแลนด์สเคปอันงดงาม นั่นเพราะเกาะต่างๆ มีลักษณะเป็น
ฟยอร์ด (Fjord) ในเวลาเดียวกันยังมีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง เรียกว่ามีทะเลและภูเขา มีหิมะและเม็ดทรายอย่างครบเครื่อง โลโฟเท็นจึงเป็นสถานที่แห่งความงามตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ แต่ที่เป็นเสน่ห์ประจำตัวของโลโฟเท็นคงจะเป็นหมู่บ้านชาวประมงซึ่งกระจายอยู่ทั่วเกาะ

และไม่ว่าใครจะมาโลโฟเท็นในฤดูไหนๆ ก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะต่อให้เป็นฤดูหนาวไปจนถึงช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ โลโฟเท็นก็มีแสงเหนือไว้ให้นักล่าแสงเหนือได้มาดื่มด่ำกันในยามค่ำคืน และในช่วงซัมเมอร์ไปจนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง โลโฟเท็นก็มากมายไปด้วยกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็น เทรกกิ้ง เซิร์ฟ คายัก และปั่นจักรยานมาดูกันว่าถ้าไปเที่ยวหมู่เกาะโลโฟเท็นมีที่ไหนหรือมุมไหนให้น่าไปทำความรู้จัก

file

Reine

ไรเน (Reine) คือหมู่บ้านชาวประมงที่ว่ากันว่ามีเสน่ห์ที่สุดบนเกาะโลโฟเท็น นี่คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีชาวประมงอาศัยอยู่แค่ 300 กว่าคน เท่านั้นจากจำนวนประชากรทั้งหมดของโลโฟเท็นกว่า 24,000 คน ทุกวันนี้ชาวบ้านก็ยังทำการประมงในฤดูที่หาปลาได้ ในแต่ละวันจะมีเรือประมงออกไปหาปลา

บ้านพักของชาวประมงหลายแห่งที่มีสีแดง ทุกวันนี้ถูกแปลงสภาพเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมายังเกาะโลโฟเท็น มากขึ้น ยิ่งหลังจากถนนไฮเวย์สายเดียวบนเกาะที่ชื่อ E10 ตัดเสร็จเมื่อปี 2010 ใครๆ ก็พากันแวะมาเที่ยวหมู่บ้านไรเน

ระดับความฮ็อตของไรเนพุ่งขึ้นอีก เมื่อมีแม็กกาซีนชั้นนำในนอร์เวย์ยกให้เป็นมุมที่ดีที่สุดในการชมวิวของโลโฟเท็น เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเรื่องนี้จริง ต้องไปยังจุดชมวิวของไรเน ซึ่งมองเห็นทั้งหมู่บ้านและภูเขาหิมะที่โอบหมู่บ้านไว้ แล้วจะพบว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง
 

file

Hamnoy

ไม่ไกลจากหมู่บ้านไรเน ขับรถราวๆ 15 นาที ก็ถึงอีกหนึ่งฮ็อตสปอตของเกาะโลโฟเท็น ที่นั่นคือหมู่บ้านฮัมนอย (Hamnoy) มุมที่ตากล้องทุกคนจะพากันปักหมุดเอาไว้ว่าอยู่ในหมวดจำเป็นต้องไป นี่คือหมู่บ้านชาวประมงเล็กมีบ้านเรือนอยู่ไม่กี่หลัง แต่เป็นหมู่บ้านที่มีฉากธรรมชาติงดงามมาก มีทิวเขาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ด้านหน้ามีเรือประมงจอดระเกะระกะทอดสมออยู่ นี่คือภาพที่ตากล้องทุกคนลั่นชัตเตอร์กันเป็นระวิง

โดยเฉพาะบนสะพานของเมืองฮัมนอย บนราวสะพานจะมีตากล้องพร้อมอุปกรณ์ครบมือมายืนคอยแสงสวยๆ ตั้งแต่เช้าไปยันโพล้เพล้ และที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งมุมที่ดีที่สุดของการดูแสงเหนือบนเกาะโลโฟเท็นด้วยแลนด์ส เคปอันเป็นสุดยอด เมื่อแสงเหนือพาดผ่านเทือกเขาหิมะจึงถือว่างดงามน่าประทับใจอย่างยิ่ง ทุกวันนี้บ้านของชาวประมงบางส่วนก็ถูกดัดแปลงเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ใครอยากเอนหลังที่นี่เพื่อรอคอยแสงเหนือจึงต้องรีบจับจองเพราะบ้านยังมีไม่มากนัก
 

file

Hamnoy

สำหรับนักท่องเที่ยวอาจจะรู้จัก สวอลวาร์ (Svolvaer) ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยว เรียกว่าเป็นประตูด่านแรกในการทำความรู้จักกับเกาะโลโฟเท็นก็ว่าได้ เพราะสวอลวาร์เป็นเมืองใหญ่ที่มีสนามบิน ท่าเรือ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เรียกว่า เป็นศูนย์กลางของการเดินทางไปมาหาสู่เกาะโลโฟเท็นจากแผ่นดินใหญ่ของนอร์เวย์ ในขณะเดียวกันที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางการบริหาร เรียกว่าหน่วยงานสำคัญของเกาะอยู่ในเมืองนี้ แต่ถึงจะเป็นเมืองใหญ่สุดของเกาะ ก็ยังมีประชากรอาศัยอยู่แค่ 4 พันกว่าคนเท่านั้น ในอดีตที่นี่คือหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ เริ่มก่อร่างสร้างบ้านกันเมื่อ 400 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ทุกวันนี้ที่นี่เต็มไปด้วยคาเฟ่ โรงแรม และบริษัททัวร์ ซึ่งมีบริการทัวร์ในรูปแบบต่างๆ รองรับนักเดินทางที่แวะเวียนมาเที่ยวปีละ 2 แสนกว่าคน

จะซื้อทัวร์ดูแสงเหนือ ทัวร์ดูวาฬ หรือแค่นั่งเรือกินลมชมวิว ทุกอย่างเริ่มต้นกันที่สวอลวาร์ หรือนักเดินทางที่จะเดินทางไปยังเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของนอร์เวย์ เช่น ทรอมโซ (Tromsø) หรือบูดา (Buda) ก็มีเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ออกจากที่นี่เช่นกัน และใครที่เป็นนักท่องพิพิธภัณฑ์ สวอลวาร์ยังมีพิพิธภัณฑ์สงครามแห่งโลโฟเท็น มีการแสดงประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองให้เข้าชมกันด้วย ยังมีวิหารประจำเมือง ซึ่งตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมือง ที่จริงแค่นั่งเพลินๆ จิบอะไรอุ่นๆ ในคาเฟ่แถวท่าเรือแล้วนั่งทอดสายตาชมวิว แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

ใครนิยมผจญภัยที่สวอลวาร์มีภูเขาสวอลวาร์ให้นักปีนเขาได้ไต่ขึ้นไปชมวิวสวยๆ ของเมืองนี้กันด้วย เอาเป็นว่าใครดั้นด้นไปถึงเกาะโลโฟเท็น สวอลวาร์เป็นอีกเมืองหนึ่งที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
 

file

Kabelvåg

ริมไฮเวย์สาย E10 เป็นถนนเส้นเดียวบนเกาะที่มีหมู่บ้านตามริมทางมากมาย แต่มีอยู่แห่งหนึ่งน่าแวะ เพราะเป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ที่สุดบนเกาะโลโฟเท็น นั่นคือหมู่บ้าน คาเบลแวก (Kabelv g) หมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ควรขับรถผ่าน และอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านสวอลวาร์มากนัก ที่นี่มีทั้งพิพิธภัณฑ์บอกเล่าวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองของโลโฟเท็น โดยจัดแสดงเรื่องราวของหมู่บ้านชาวประมงในยุคแรกเริ่มและยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์ น้ำด้วย

แต่ที่เป็นไฮไลต์ของหมู่บ้านคาเบลแวก น่าจะเป็นโบสถ์วากัน (Vagan Church) โบสถ์เก่าแก่ประจำเกาะซึ่งสร้างขึ้นจากไม้ทั้งหลังตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 นอกจากจะเป็นมหาวิหารของชาวเกาะแล้ว ยังจัดว่าเป็นโบสถ์ไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือของนอร์เวย์ด้วย ซึ่งด้านในจุคนได้ประมาณ 1,200 คน

Lofotr Viking Museum

หากอยากตามรอยชาวไวกิ้งควรแวะไปพิพิธภัณฑ์ไวกิ้งที่อยู่ริมไฮเวย์สาย E10 นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่สร้างในรูปแบบบ้านไม้โบราณสไตล์ไวกิ้ง ข้างในมีพวกข้าวของเครื่องใช้ และอาวุธของชาวไวกิ้ง และบอกเล่าวิถีชีวิตของชาวไวกิ้งในอดีตอย่างน่าสนใจ
 

file

Å

อีกมุมหนึ่งน่าแวะไปของเกาะโลโฟเท็นคือหมู่บ้านโอ (Å) หมู่บ้านชาวประมงที่ถูกกระเซ้าว่ามีชื่อสั้นที่สุดในโลก หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่เกือบใต้สุดของเกาะ เรียกว่าถนนสาย E10 จะสิ้นสุดลงที่หมู่บ้านแห่งนี้ ในหมู่บ้านชาวประมงมีที่พักรองรับนักเดินทาง และมีพิพิธภัณฑ์การทำประมงในหมู่บ้าน แสดงให้เห็นถึงการทำประมงของชาวเกาะ

file

Henningsvær

หากมีเวลาให้กับเกาะโลโฟเท็นอย่างเหลือเฟือ มุมหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือหมู่บ้าน เฮนนิงสวาร์ (Henningsvaer) หมู่บ้านชาวประมงที่ปัจจุบันยังทำประมงกันอย่างจริงจังมาก ดูได้จากอ่าวจอดเรือประมงที่จอดกันแน่นขนัด ไปเดินเล่นแถวท่าเรือก็จะเห็นชาวประมงก้มๆ เงยๆ กับการลำเลียงปลากันอย่างสนุกสนาน หมู่บ้านนี้จะมีอาคารบ้านเรือนสีสันสดใสมาก ใจกลางหมู่บ้านมีถนนแคบๆ พาดผ่าน มีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ และอาร์ตแกลเลอรี่ ให้นักท่องเที่ยวได้แวะชมกัน

file

Sakrisøy

อย่างที่รู้กันว่าชาวเกาะโลโฟเท็นนั้นยังมีอาชีพทำการประมงกันอย่างจริงจังมาก หมู่บ้านหนึ่งที่จะฉายภาพนี้ให้เห็นได้ชัดคือ หมู่บ้านซาคริซอย (Sakrisoy) หมู่บ้านสีเหลืองที่มีการทำโครงไม้ตากปลาค็อดซึ่งหามาได้เยอะมาก ที่นี่อาจจะแตกต่างจากที่อื่น ตรงที่เป็นหมู่บ้านสีเหลือง และเมื่อฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ จึงดูงดงามไม่ต่างจากหมู่บ้านอื่น แต่ไปแล้วจะเห็นว่า โลโฟเท็นมีปลาค็อดเยอะจริงๆ เยอะขนาดส่งออกปลาค็อดตากแหง้ ไปทั่วโลก ยิ่งเป็นฤดูหาปลาคือ มกราคม- เมษายน ก็จะยิ่งเห็นแผงตากปลาค็อดที่หมู่บ้านนี้เยอะกว่าที่ไหนๆ

โลโฟเท็นยังมีอีกหลายมุมน่าไปทำความรู้จัก เรียกว่าอยู่กันเป็นเดือนก็ยังมีที่น่าเที่ยวอยู่ เอาเป็นว่าลองไปสำรวจเกาะนี้ดูจะได้รู้ว่าโลโฟเท็นคือนางแบบที่ขึ้นกล้องของนอร์ เวย์จริงๆ

  • - จากกรุงเทพฯ บินไปตั้งหลักที่ออสโล โดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส มีเที่ยวบินไปออสโลทุกวัน แวะเปลี่ยนเครื่องที่อิสตันบูล สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2231 0300-7 จากออสโลมีเที่ยวบินตรงไปเกาะโลโฟเท็นเลย แต่ใครจะแวะไปเปลี่ยนเครื่องที่บูดาก็ได้
  • - ทั่วทั้งเกาะโลโฟเท็นมีหมู่บ้านให้แวะพักเยอะพอสมควร ลองคลิกไปสำรวจกันได้ที่ www.booking.com มีที่พักให้เลือกหลายแบบ และสามารถเปลี่ยนแปลงการจองได้ด้วยตัวเอง
  • - เที่ยวโลโฟเท็นสะดวกสุดคือเช่ารถขับแนะนำ Hertz เพราะมีรถให้เลือกหลากหลายแบบและขนาด สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2635 1826 หรือ www.hertz.co.th