file

Q3 จังหวะซื้อสะสมที่ห้ามพลาด

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 45 | คอลัมน์ Smart Investing

หุ้นไทยไตรมาส 2 ถอยหล่นทํา จุดต่ํา ใหม่ของปี ถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกเป็นสําคัญ...

ตามคาด เราได้เตือนถึงปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่คาดว่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 มีความผันผวน ทั้งการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield), ความกังวลเกี่ยวกับการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และผลกระทบจาก MSCI นำหุ้น A-shares ของจีนเข้ามาคำนวณดัชนีเฟสแรกเริ่มในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้กระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้น ไทยเป็นจำนวนมาก โดยนับตั้งแต่ต้นปี ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท (YTD ถึงวันที่ 7 มิ.ย.) กดดันให้ดัชนี SET ไตรมาส 2 ถอยหล่นทำจุดต่ำใหม่ของปีที่บริเวณ 1,710 จุด จากที่เคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 1,850 จุด ในช่วงไตรมาส 1 แม้ดัชนี SET ในปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 1,730 - 1,740 จุด แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากสิ้นปีที่แล้ว แต่นักลงทุนที่ลงทุนในปีนี้ส่วนใหญ่จะขาดทุน โดยเราอ้างอิงจากจำนวนหุ้น 100 ตัวในดัชนี SET100 มีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 70% ให้ผลตอบแทนติดลบ ซึ่งมีผลตอบแทนติดลบโดยเฉลี่ย -7% นอกจากนี้หุ้นในดัชนี SET100 สัดส่วนมากกว่า 50% หรือเกินกว่าครึ่ง มีราคาปรับตัวลงมากกว่า 20% จากที่เคยขึ้นสูงสุด ซึ่งในทางเทคนิคมักเป็นเครื่องชี้ถึง “ภาวะหมี”


แผนภาพที่ 1: หุ้นใน SET100 ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนติดลบ และกว่าครึ่งราคาร่วงมากกว่า 20% จากที่ขึ้นสูงสุด
 

file

 

มองไตรมาส 3 อยู่ในช่วงตั้งหลักและมีโอกาสเริ่มฟื้นตัว (โดยเฉพาะช่วงปลายไตรมาส)

ถึงแม้ยังมีปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่ต้องติดตามต่อเนื่องในไตรมาสนี้หลักๆ จากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการทยอยปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติของธนาคารกลางสำคัญ ของโลก ซึ่งอาจยังกดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนตามตลาดหุ้นโลกอยู่ แต่เรามองตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปแล้ว น่าจะเริ่มตั้งหลักได้ในไตรมาส 3 และมีโอกาสเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาสจาก

1). 10Y US Bond Yield ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่แถว 3% น่าจะสะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ไปมากแล้ว เนื่องจากอยู่บริเวณคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot ณ เดือน มี.ค.) ที่เหมาะสมในระยะยาวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ระดับ 2.75-3.00% นอกจากนี้ เราเชื่อว่า Dot Plot ในเดือน มิ.ย. ต่อเนื่องถึงเดือน ก.ย. ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากเดือน มี.ค. เนื่องจากรายงานการประชุม Fed ครั้ง ก่อนเมื่อวันที่ 1-2 พ.ค. ที่ผ่านมา Fed ระบุว่าจะปล่อยให้เงินเฟ้อขยายตัวออกจากกรอบเป้าหมาย 2% เป็น “เวลาชั่วคราว”


แผนภาพที่ 2: Bond Yield ขึ้นมาอยู่สูงกว่า Fed Longer Run Dot Plot เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ซึ่งชี้ว่าได้สะท้อนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ปีนี้ไปมากแล้ว
 

file


2). การเมืองไทยคาดว่าจะทยอยเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้านี้ ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.ป. ที่มา ส.ว. และการเลือกตั้ง ส.ส. รวมทั้งคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ กระบวนการเลือกตั้งกลับมาเดินหน้าได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญกำหนด เราคาดว่าจะมีข่าวดี
นายกฯ สามารถกำหนดการเลือกตั้งได้ภายในช่วงเดือน ก.ย. หลังจากที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้งครบทั้ง 4 ฉบับแล้ว และการเลือกตั้งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาส 2 ปีหน้า ช่วยหนุนกระแสเงินทุนไหลเข้า


แผนภาพที่ 3: กรอบเวลาเลือกตั้งใหม่ หลังทราบผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
 

file


Source: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560, ร่าง พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ส.ส., TISCO Research
 

3). การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จากภาครัฐคาดว่าจะเร่งตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากกฎหมาย EEC ที่ล่าช้าก่อนหน้านี้มีผลบังคับใช้แล้วในกลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา และเป็นช่วงการทำงานปีสุดท้ายของรัฐบาล คสช. แล้ว โดยโครงการที่คาดว่ารัฐจะเปิดประมูลในช่วงครึ่งปีหลังมีมูลค่ารวมสูงถึง 7.8 แสนล้านบาท อาทิ ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง มูลค่า 3.1 หมื่นล้านบาททางหลวงมอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา และบางใหญ่- กาญจนบุรี รวมมูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.3 แสนล้านบาท รถไฟฟ้าสีม่วงใต้ (เตาปนู - ราษฎร์บูรณะ) มูลค่า 1.0 แสนล้านบาท และรถไฟทางคู่เฟสสอง 9 เส้นทาง รวมมูลค่า 3.9 แสนล้านบาท


แผนภาพที่ 4: งานภาครัฐที่คาดว่าจะเปิดประมูลในครึ่งปีหลัง
 

file


Source: CK, TISCO Research
 

4). กระแสเงินทุนต่างประเทศที่คาดว่าจะไหลออกจากผลกระทบ MSCI นำหุ้น A-shares ของจีนเข้ามาคำนวณดัชนีเฟสที่สองในเดือน ส.ค. นี้มีอีกไม่มากแล้ว จากการประเมินของเราเงินทุนต่างประเทศที่จะไหลออกทั้ง 2 เฟสรวมอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลกระทบของเฟสแรกราว 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเฟสที่สองอีกราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น จึงเหลือผลกระทบอีกเพียง ¼ เท่านั้น ซึ่งเราเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนภายในประเทศโดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบัน มากพอที่จะรองรับแรงขายนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา อนึ่ง เฟสแรกในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาใช้ Inclusion Factor = 2.5% และเฟสที่สองในเดือน ส.ค.
ใช้ Inclusion Factor เพิ่มอีก 2.5% เป็น 5.0%


แผนภาพที่ 5: Potential Flow (Passive + Active) Estimation (US$, bn)
 

file


Source : MSCI, Bloomberg, Deutsche Bank (DB), TISCO Research
 

5). งบไตรมาส 2/2018 ที่จะประกาศในช่วงกลางเดือน ก.ค.- กลางเดือน ส.ค. นี้ เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มกลับมาเติบโตได้ YoY แม้งบไตรมาส 1 ของ บจ.ไทย โดยรวมออกมาทรงตัว YoY แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีน่าพอใจ เนื่องจากฐานกำ ไรปีที่แล้วอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เรามองการเพิ่มขึ้น YoY ของผลกำไรในงบไตรมาส 2 นี้ เป็นต้นไปจะทำให้ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยน่าสนใจขึ้น และน่าจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อแนวโน้มประมาณการกำไรในปีนี้ และปีหน้าที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 7-8% ต่อปี จากการศึกษาของเราพบว่ากำไร บจ. มีส่วนสำคัญต่อการผลักดันดัชนี SET โดยมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) เชิงบวกสูงถึง +0.93x เรายังคงเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปีนี้ที่ 1,850 จุด


แผนภาพที่ 6: แนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 18-19F เฉลี่ย 7-8% ต่อปีจะหนุนดัชนี SET ปรับตัวสูงขึ้น
 

file


Source: SET, TISCO Research
 

แนะหาจังหวะทยอยสะสมหุ้นงบ-สตอรี่ดี

หุ้นเด่นในไตรมาส 3 ที่เราแนะนำจะเน้นหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี คือ AEONTS (สินเชื่อส่วนบุคคลเริ่มฟื้นตัวแล้ว คาดจะขยายตัวแข็งแกร่งในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้า ขณะที่ธุรกิจบัตรเครดิตยังขยายตัวดีต่อเนื่อง และจะเน้นยอดเงินการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นร่วงลงมาในไตรมาส 2 เป็นจังหวะดีในการเข้าลงทุน คาดกำไรปี FY2018F จะเติบโต 18% และ PER ปี FY2018F อยู่ที่ 11x มูลค่าเหมาะสม 192 บาท) CK (มีโอกาสได้งานใหม่สูง เพราะมีความเชี่ยวชาญงานที่จะเปิดประมูลปีนี้ เช่น ทางด่วนพระราม 3- ดาวคะนอง รถไฟฟ้าสีม่วงใต้ ซึ่ง CK เป็นผู้สร้างรถไฟฟ้าสีม่วงเส้นปัจจุบัน และ BEM เป็นผู้ให้บริการอยู่ในขณะนี้ ผลตอบแทนจากเงินลงทุนใน บ.ร่วม เช่น BEM, CKP, TTW มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้น CK ปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าการถือหุ้นในบริษัทลูกที่กล่าวมาราว 20% จาก NAV ที่อยู่ประมาณ
30-31 บาท มูลค่าเหมาะสม 38 บาท) ROJNA (ได้รับประโยชน์จาก EEC มี Backlog ขายที่ดิน 500 ไร่
รอรับรู้รายได้ในปีนี้ และรายได้จากการขายโรงไฟฟ้า SPP3 จะเข้ามาเต็มปี ราคาหุ้นยังขึ้นช้ากว่าหุ้นนิคมอุตสาหกรรมตัวอื่นๆ มูลค่าเหมาะสม 7.7 บาท) TPIPP (อัตราใช้กำลังผลิตของโรงไฟฟ้า RDF 70MW แห่งใหม่อยู่ที่ 87% ในเดือน เม.ย. และ 90% ในเดือน พ.ค. ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหิน 150MW เปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะแล้ว คาดจะใช้เวลาเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ประมาณ 2 เดือน นอกจากนี้รัฐบาลยังสนับสนุนโรงไฟฟ้า RDF ซึ่งจะเปิดประมูลในอนาคต ราว 20MW/โครงการ มูลค่าเหมาะสม 8.4 บาท) TVO (คาดปริมาณขายและ Spread จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากผู้นำเข้ากากถั่วเหลืองได้และยังมีสต็อกถั่ว เหลืองราคาต่ำอยู่ มองแนวโน้มราคาถั่วเหลืองแกว่งซิกแซ็กขึ้นจากคาดการณ์อุปทานถั่วเหลืองต่ำกว่าอุปสงค์ 5.6 ล้านตัน ในปี 2018F และ 3 ล้านตันในปี 2019F ปันผลดีสม่ำเสมอ 5-6% ต่อปี มูลค่าเหมาะสม 38 บาท)