file

“พีระพงศ์ จรูญเอก” แม่ทัพ ออริจิ้น สร้างธุรกิจเติบโตรวดเร็วอย่างยั่งยืน

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 46 | คอลัมน์ People

โดยทั่วไปการเป็น “นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ควรจะต้องมีพร้อมทั้ง “ที่ดินและเงินทุน” แต่พีระพงศ์ จรูญเอก ไม่มีคุณสมบัติทั้งสองอย่าง เขาเริ่มจากมีองค์ความรู้ ความชอบ และมีความสุขตั้งแต่ลงมือทำ เขาไม่ได้คิดว่าจะต้องสร้างให้ใหญ่โต เพียงแค่ลงมือทำอย่างรวดเร็วภายใต้ทรัพยากรที่มีเพื่อลดระยะเวลาและลดต้นทุนในการผลิต (Economy of Speed)

“ถ้าจะลงมือทำอะไรก็จะต้องทำให้รวดเร็วและสำเร็จ จากนั้นก็ไปลงมือทำงานใหม่ต่อไป” พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) สรุปถึงสไตล์การทำงานของตัวเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า พีระพงศ์ ใช้เวลาสร้างอาณาจักรออริจิ้นให้เติบใหญ่แข็งแรงและเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในระยะเวลาเพียงแค่ 7 ปี สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการและประสบการณ์ที่เขาเรียนรู้มาตั้งแต่เป็นนักศึกษาฝึกงาน

พีระพงศ์ เกิดที่อุดรธานี จบการศึกษาระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล และเมื่อย้อนกลับไปเกือบ 20 ปีที่แล้ว สังเกตได้ว่าเด็กต่างจังหวัดส่วนใหญ่ใฝ่ฝันและมีเป้าหมายการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยถ้าไม่ใช่ “แพทย์” ก็เป็น “วิศวะ” ซึ่งพีระพงศ์เป็นหนึ่งในนั้น โดยเขาเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในปี 2537 สามารถคว้าปริญญาตรีมาได้ภายในเวลาเพียง 3 ปีครึ่ง และในระหว่างเรียนยังมีโอกาสฝึกงานกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ขอนแก่นซึ่งเป็นบริษัทของรุ่นพี่ที่คณะฯ

เขาเรียนจบในเดือนตุลาคมปี 2540 หลังรัฐบาลตัดสินใจประกาศลอยตัวค่าเงินบาทได้เพียง 4 เดือน และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจ หลังเรียนจบเขาตกงานอยู่นานแต่โชคดีที่บริษัทรุ่นพี่รับเข้าทำงานไว้ แต่ตั้งเงื่อนไขจะต้องช่วยกันหางานเข้าบริษัทเพราะงานรับเหมาก่อสร้างในระยะนั้นหดหายมีเพียงงานประมูลของรัฐบาลที่พยายามทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลังจากเดินสายประมูลงานภาครัฐทั่วประเทศ และงานแรกที่เขาได้โชว์ฝีมือคือ โครงการก่อสร้างอาคารในมหาวิทยาลัยนเรศวร มูลค่า 400 ล้านบาท และเมื่อโครงการสำเร็จสามารถสร้างกำไรให้บริษัทได้ถึง 15%

“การหดตัวของงานก่อสร้างหลังวิกฤติปี 2540 กระทบผู้รับเหมาต้องหันมาตัดราคากันรุนแรง ดังนั้น จะทำกำไรจากการก่อสร้างนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ผมเลยต้องใช้วิธีการประหยัดต้นทุนทุกอย่างเพื่อให้มีกำไรเข้าบริษัท แต่เพราะโครงการนี้เองทำให้ผมมีประสบการณ์อย่างมากในการนำเทคนิคต่างๆ ไปต่อยอดโครงการอื่นๆ” พีระพงศ์ เล่า

พีระพงศ์ลาออกจากงาน (ปี 2544) เพื่อบินไปออสเตรเลียกับภรรยา โดยเขาไปเรียนต่อปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรโครงสร้าง ที่ University of New South Wales หลังจากทั้งคู่เรียนจบก็บินกลับเมืองไทย พีระพงศ์ทำงานกับบริษัท อรุณ ชัยเสรี คอนซัลติ้ง เอนจิเนียร์ส จำกัด ในฐานะวิศวกรที่ปรึกษา (Engineering Consultant) ทำให้เขาได้สร้างประสบการณ์เรียนรู้จากโครงการต่างๆ ของลูกค้า ทั้งในส่วนของบ้านจัดสรร โรงแรมห้างสรรพสินค้า และอื่นๆ อีกมากมาย

ระหว่างนี้เขาและภรรยาตัดสินใจซื้อที่ดินแปลงหนึ่งใกล้ๆ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตเพื่อสร้างอพาร์ทเมนต์ปล่อยเช่า ชื่อโครงการยูโรเปี้ยน เพลส นับเป็นธุรกิจแรกที่เขาเป็นเจ้าของ และอีก 2 ปีถัดมาเขาตัดสินใจรับงานที่มีความท้าทายกับบทบาทหน้าที่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้กับ บมจ.ดับเบิ้ลเอ (1991) ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ด้วยอายุเพียง 28 ปี

“ผมเก็บเล็กผสมน้อย เรียนรู้จากคน เรียนรู้จากงาน เรียนรู้จากลูกค้า” พีระพงศ์ บอก

file

กล้าแล้วต้องลงมือทำ

มีความสุขกับการทำงานได้เพียง 2 ปี พีระพงศ์เริ่มมีคำถามกับตัวเองบ่อยขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง เขาจึงเริ่มมองหาที่ดินในทำเลที่คิดว่ามีศักยภาพระหว่างย่านวัชรพลกับแนวรถไฟฟ้าในโซนอ่อนนุช แต่สู้ราคาไม่ไหวจึงเบนเข็มมองเข้าไปในซอยแทน โดยเน้นที่ดินรอการขายจากสถาบันการเงิน (NPA) และได้พบกับที่ดินเปล่า ในซอยแบร์ริ่ง 109 (ติดกับสถานีรถไฟฟ้าแบร์ริ่งในปัจจุบัน)

จากแรงบันดาลใจอันแรงกล้าพร้อมกับงานเริ่มหนักมากขึ้น เขาจึงตัดสินใจลาออกเพื่อมาสร้างธุรกิจของตัวเองด้วยการก่อตั้งบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในปี 2552 โดยโครงการแรกที่เริ่มพัฒนาคือ Sense of London Sukhumvit 109 ซึ่งสามารถขายหมดภายใน 5 เดือน จนเขาต้องหาที่ดินแปลงใหม่เพื่อขึ้นโครงการใหม่

โครงการคอนโดมิเนียมที่ 2 เริ่มสร้างในปีถัดมา ภายใต้โครงการ Kensington Bearing แบร์ริ่ง 107 โดยได้เงินทุนจากธนาคารแห่งหนึ่งที่ยื่นข้อเสนอรีไฟแนนซ์ในโครงการแรกให้ในมูลค่า 10 ล้านบาท และภายใน 5 เดือน ก็ขายหมด จึงบุกโครงการถัดมาในชื่อ Notting Hill Bearing แบร์ริ่ง 107 ตามด้วยโครงการ Knights Bridge Bearing 107

พีระพงศ์ เป็นนักธุรกิจที่คิดลึกซึ้ง จึงสามารถเก็บเกี่ยวบทเรียน ประสบการณ์ จากนั้นนำมาประมวลผล วางแผน และลงมือทำ “โครงการที่ทำก็มาจากความชอบ เมื่อทำแล้วไปได้สวยก็เดินหน้าต่ออย่างมีความสุข จากนั้นก็ทำโครงการอื่นเพิ่มอย่างต่อเนื่อง”

ออริจิ้น นับเป็นธุรกิจที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วมาก เห็นได้จากระยะเวลาเพียง 9 ปี มูลค่าโครงการสูงถึง 82,000 ล้านบาท “มาไกล กว่าที่คิด ตอนแรกคิดว่าโครงการแรกเสร็จก็จะค่อยๆ ทำ แต่พอปิดการขายได้เร็วก็เลยเปิดโครงการใหม่ๆ ตามมา ผมเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง แถมตอนนี้ยังลุยต่อไหว”

กลยุทธ์สำคัญของเขาอยู่ที่จะซื้อที่ดินก็ต่อเมื่อมีการขยายโครงการ (ไม่มีการซื้อที่ดินสะสม) รวมทั้งเน้นการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง โดยแต่ละไตรมาสจะมีทั้งโครงการกำลังขาย โครงการกำลังก่อสร้าง และโครงการสร้างเสร็จ

พีระพงศ์ ยอมรับว่าธุรกิจคอนโดมิเนียมมีข้อด้อยอยู่ที่การรับรู้รายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาจึงวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจสามารถสร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง วิธีการก็คือ สร้างโครงการให้มีขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถเปิดโครงการขายได้ทุกไตรมาส และเมื่อสร้างแล้วขายได้ทุกไตรมาส นั่นหมายถึงการรับรู้รายได้ที่จะเกิดขึ้นทุกไตรมาส ออริจิ้น ภายใต้แม่ทัพที่ชื่อ พีระพงศ์จึงเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

“ผมยังคงเน้นขยายโครงการแถวๆ แบร์ริ่ง และซอยลาซาล เพราะแบร์ริ่งมองว่าไม่ได้ไกลจากย่านอ่อนนุช แค่นั่งรถไฟฟ้าออกมาอีก 5 สถานี และแบร์ริ่งก็เป็นเหมือนอ่อนนุชแห่งใหม่ ข้อดีก็คือ นอกจากใกล้โซนสุขุมวิท ใกล้แหล่งท่องเที่ยวแล้ว อีกด้านยังใกล้โรงงานในย่านสมุทรปราการและสำโรงอีกด้วย ดังนั้นจึงมีลูกค้าทั้งระดับ Blue Collar และ White Collar”

บุคลิกที่ไม่หยุดนิ่งของพีระพงศ์ สังเกตได้หลังจากปีแรกที่ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย เขาชวนภรรยาเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ท่องเที่ยวได้เพียง 1 เดือนก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่คำตอบของชีวิต เพราะตั้งแต่สมัยวัยรุ่นก็ทำงานมาโดยตลอด ทั้งคู่จึงเริ่มตั้งคำถามถึงแผนธุรกิจในอนาคต จากนั้นบินกลับมาลุยงานต่อ แต่รอบนี้พีระพงศ์รู้ดีว่างานจะไม่ราบรื่นอีกต่อไป เพราะออริจิ้นเริ่มขยับจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กมาเป็นรายกลางแถมเป็นรายกลางที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ ความเสี่ยงย่อมสูง จึงตัดสินใจหันไปเน้นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

วิธีหนึ่งคือ การเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งจะทำให้มีผู้ถือหุ้น นักลงทุนมีส่วนร่วมในธุรกิจอีกทั้งมีผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารงานเพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ และ 7 ตุลาคม 2558 ออริจิ้น เริ่มซื้อขายบนกระดานเป็นวันแรกในชื่อย่อ ORI ด้วยราคา 9 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 35,000 ล้านบาท

“หากทำดีตั้งแต่วันแรก คนก็จะเห็นมูลค่าธุรกิจเอง” พีระพงศ์ กล่าว

file

ธุรกิจต้องยั่งยืน

พีระพงศ์แบ่งการดำเนินธุรกิจออกเป็น 3 เฟส เฟสแรกคือ 5 ปีแรกจากจุดเริ่มต้น ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงเฟส 2 คือปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 “ผ่านมา 8 ปีครึ่งแล้ว เหลืออีกประมาณปีครึ่งจะเข้าสู่เฟส 3 โดยเฟส 2 เป้าหมายคือการประสบความสำเร็จและก้าวขึ้นเป็นธุรกิจคอนโดมิเนียมระดับ Top 3 หรือ Top 5 ส่วนเฟส 3 จะเริ่มขึ้นในปลายปีหน้า เป้าหมายคือการขยายไปในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคอนโดมิเนียมเพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น บ้านจัดสรร เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ (Service Apartments) โรงแรม ผมจะทำให้ครบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์”

แม้จะตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนแล้วแต่ตอนนี้เขากลับเริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่ในเป้าหมายของเฟสที่ 3 ไปบ้างแล้ว เช่น โรงแรม

“ผมเป็นคนประเภททำให้เร็วกว่าแผนที่วางเอาไว้ มีเป้าหมายที่ดีกว่าข้อมูลที่บอกผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุน เพราะมองว่าการเน้นคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียวจะไม่มีความยั่งยืนเพราะเมื่อทำเสร็จก็ต้องไปหาที่ดินแปลงใหม่ แล้วทำไปเรื่อยๆ จากนั้นทุกๆ ปลายปีก็รายงานยอดขาย แต่สิ่งที่ผมต้องการคือ รายได้ประจำ นั่นคือ ธุรกิจเซอร์วิสเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรหรือธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีรายได้ประจำ อีกอย่างคือเมื่อธุรกิจเติบโตและขยายตัว ทำให้พนักงานของออริจิ้นก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยคาดว่าอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีพนักงานราว 2,500 คน และเมื่อเป็นแบบนี้ รายได้ต้องมั่นคงและยั่งยืน”

file
file
file
file

สร้างความสมดุลชีวิตกับงาน

พีระพงศ์กับภรรยาจะไม่แยกเรื่องชีวิตและงานออกจากกัน แต่ “ทำให้เป็นเรื่องเดียวกัน” นั่นหมายความว่า ทำงานและใช้ชีวิตให้มีความสนุก ที่สำคัญไปกว่านั้นทั้งสองยังนั่งทำงานในห้องเดียวกัน ประชุมด้วยกัน “ตลอด 24 ชั่วโมงเราอยู่ด้วยกันทั้งเรื่องชีวิตและเรื่องงาน”

ลูกสาวคนโตของทั้งคู่ตอนนี้อายุ 10 ขวบครึ่ง ลูกชายคนเล็กอายุ 9 ขวบ ขณะที่ออริจิ้นก่อตั้งมาแล้ว 8 ปีครึ่ง “ตอนผมก่อตั้งออริจิ้น ลูกสาวคนโตอายุ 1 ขวบครึ่ง คนเล็กยังแบเบาะจึงเหมือนผมและภรรยาเลี้ยงลูกถึง 3 คน”

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสร้างบรรยากาศออฟฟิศให้เป็นเหมือนบ้าน เมื่อพนักงานมาทำงานก็เหมือนอยู่บ้านพร้อมๆ กันทั้งครอบครัว เขาสร้างวัฒนธรรมให้ทุกคนคบเพื่อนในที่ทำงาน “ถ้าไม่มีความสุขในที่ทำงาน ชีวิตนี้จะไม่มีความสุขเลย เพราะคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศ เช่น เราจะเลี้ยงอาหารกลางวันทุกวันจันทร์ เพื่อให้พนักงานกระตือรือร้นมาทำงานหลังวันหยุด รวมถึงสนับสนุนให้พนักงานมีโอกาสหมุนเวียนไปทำงานในฝ่ายอื่นๆ เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ และสนุกกับงาน เช่น สร้างรายได้เสริมด้วยการเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนสามารถขายคอนโดมิเนียมได้ 1 วันต่อสัปดาห์”

นี่คือเรื่องราวชีวิตของพีระพงศ์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามากคนหนึ่งของเมืองไทย

ความรู้สึกที่มีต่อ “ทิสโก้”

“คุณพีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ก่อตั้งอาณาจักร ออริจิ้น ขึ้นตั้งแต่ปี 2552 ทิสโก้ถือเป็นธนาคารในกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของแหล่งเงินทุนให้กับบริษัท ในการสร้างสรรค์ธุรกิจออริจิ้นให้เติบใหญ่มากระทั่งถึงวันนี้ นอกจากนี้ เขาและภรรยายังใช้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ กับทิสโก้อีกด้วย โดยเฉพาะการเป็นลูกค้า TISCO Wealth

“กลุ่มธนาคารทิสโก้ เป็นเหมือนครอบครัวที่ดูแลผม ภรรยา และธุรกิจออริจิ้นมาตั้งแต่ต้นจนเติบโตแข็งแกร่ง” พีระพงศ์ กล่าว