file

"ธงไชย แมคอินไตย์" ความสำเร็จกว่า 30 ปีของ "แบรนด์พี่เบิร์ด"

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 47 | คอลัมน์ People

ถ้าเปรียบศิลปินนักร้องเป็น “สินค้า” ต้องบอกว่าตลาดเพลงไทยถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เพราะมีหลากหลายแนวเพลงให้ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มแต่ละวัยได้เลือกฟัง และมีศิลปินมากหน้าหลายตาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปในวงการเพลงบ้านเรานับไม่ถ้วน แต่มีนักร้องขวัญใจคนไทยอยู่หนึ่งคนที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ก็ยังครองตำแหน่งซูเปอร์สตาร์ในดวงใจแฟนคลับทุกเพศทุกวัยมายาวนานกว่า 30 ปี ศิลปินคนนั้นก็คือ “พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์”

อีกนัยหนึ่ง “พี่เบิร์ด” ยังถือเป็น “แบรนด์” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำให้แบรนด์เป็นที่รักของผู้บริโภค ด้วยตัวตนที่ชัดเจนและความเป็นธรรมชาติแบบ “เบิร์ด-เบิร์ด” ซึ่งถ้าทุกคนได้รู้จักตัวตนและวิธีคิดของพี่เบิร์ด ก็น่าจะทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าเหตุใด “แบรนด์พี่เบิร์ด” จึงยังทรงพลังและแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้...

อัลบั้ม “หาดทราย สายลม สองเรา” วางแผงครั้งแรกปี 2529 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของชื่อเสียงอันโด่งดังของนักร้องหน้าใหม่ที่ชื่อ “เบิร์ด-ธงไชย” แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนั้น เส้นทางของพี่เบิร์ดไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พี่เบิร์ดไม่เคยอายที่จะบอกว่า “พี่มาจากครอบครัวที่ยากจน อยู่ในที่ที่เรียกได้ว่า Under Zero ด้วยความไม่มีและความไม่พร้อมแต่โอบล้อมไปด้วยความรักจากครอบครัวทำให้พี่เบิร์ดเกิดแรงบันดาลใจที่อยากทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดี”

แรงบันดาลใจบวกกับความขยันและอดทน ระหว่างที่ทำงานเป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่งพี่เบิร์ดพยายามหารายได้พิเศษเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ตั้งแต่ถ่ายแบบ ไปจนถึงร้องเพลงในห้องอาหาร หลักคิดของพี่เบิร์ดมีอยู่ว่า “พี่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีดีอะไร แต่อะไรที่ดีๆ พี่จะทำ เพราะเชื่อว่าการทำดีย่อมจะได้รับสิ่งดีๆ คืนกลับมา”

แล้วสิ่งดีๆ ก็คืนกลับมาจริงๆ เมื่อผู้จัดละครชื่อดัง “วรายุฑ มิลินทจินดา” มาเจอพี่เบิร์ดขณะทำงานเดินแบบ จึงได้ชักนำเข้าสู่วงการละคร แต่ด้วยความสามารถที่โดดเด่นด้านการร้องเพลง พี่เบิร์ดจึงได้รับทาบทามให้ไปร้องเพลงในรายการทีวี และยังเข้าประกวดร้องเพลงในเวทีระดับประเทศ ซึ่งพี่เบิร์ดก็คว้ามาได้ถึง 3 รางวัล จากนั้นพรสวรรค์ของพี่เบิร์ดก็ไปเข้าตา “เรวัต พุทธินันทน์” จึงได้รับการชักชวนให้มาเป็นนักร้องในสังกัด GMM Grammy

กว่า 30 ปีที่ได้สร้างความสุขผ่านเสียงเพลงให้กับคนไทยในหลากหลายผลงาน พี่เบิร์ดกลายเป็นเจ้าของสถิติในวงการเพลงมากมาย อาทิ ศิลปินที่มีอัลบั้มเดี่ยวที่มียอดจำหน่ายเกินล้านตลับมากที่สุดถึง 7 ชุด ซึ่งอัลบั้ม “ชุดรับแขก” ที่มียอดจำหน่ายกว่า 5 ล้านชุด ถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเมืองไทย หรือศิลปินที่มีเพลงฮิตนับร้อยๆ เพลงขณะที่คอนเสิร์ตใหญ่ของพี่เบิร์ดร่วมร้อยรอบ ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามทุกครั้งไป ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้พี่เบิร์ดได้รับยกย่องให้เป็น “ซูเปอร์สตาร์ดาวค้างฟ้า” ของเมืองไทย 

เมื่อประกอบกับภาพลักษณ์ที่ดีของพี่เบิร์ดทั้งในเรื่องของความกตัญญู โดยเฉพาะกับคุณแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง หรือเรื่องของความสามารถในการร้องเพลงที่โดดเด่น และการพัฒนาตนเองตลอดเวลา โดยเฉพาะการท้าทายตนเองด้วยการทำแนวเพลงใหม่ๆ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการเพลงไทย นอกจากนี้พี่เบิร์ดยังได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่มีความสามารถในการให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม และยังเป็นศิลปินที่ได้รับยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดีในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องของ “การให้” และการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เป็นต้น คุณสมบัติทั้งหลายเหล่านี้ทำให้แบรนด์ “พี่เบิร์ด” กลายเป็นแบรนด์ที่มีพลังแข็งแกร่ง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คนมาอย่างยาวนาน

ธงไชย แมคอินไตย์

“เส้นทางเดินของพี่จากวันนั้นมาถึงวันนี้มันเป็นเส้นทางที่ทำให้พี่มีความสุขกับชีวิตและการทำงานของพี่ตลอด พี่มีความสุขในทุกๆ วันที่รู้ว่าจะได้ทำงาน มีคนถามว่าพี่เอาพลังมาจากไหนถึงได้เต็มที่กับงานทุกชิ้น พี่เบิร์ดเชื่อว่าพลังที่มาจากตัวพี่มันมาจากการที่พี่ได้ทำงาน พี่ทำไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่ต้องเก็บเกี่ยวอยู่ตลอดคือประสบการณ์ กับสิ่งที่ควรจะทำในแต่ละวัน ที่เราต้องทำไปเรื่อยๆ พี่เบิร์ดไม่ถึงเส้นชัยสักที ปละพี่ก็ไม่เคยนึกถึงเส้นชัยด้วย พี่ไม่เคยจะไปถึงจุดมุ่งหมายสุดท้ายเลย เพราะพี่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเป็นเส้นชัย

“พี่แค่ขอให้มีงาน งานคือทุกสิ่งทุกอย่างงานคือหู ตา ปาก จมูก ทวารทุกอย่างเปิดเมื่อทำงาน งานคือความสุข งานคือความสนุก งานคือความตื่นเต้น งานคือความหวัง งานคือเหตุ งานคือผล งานคือการ Go งานคือการ Move ของชีวิต งานคือคำถาม งานคือคำตอบ ทุกอย่างสำหรับพี่ พี่ขอให้เหมือนกับเมื่อวานนี้ เพราะถ้าเรามั่นใจว่าเราก็อปปี้เมื่อวานนี้ได้แล้ว แล้วพรุ่งนี้ก็ก็อปปี้วันนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมั่นใจ ได้ว่าเราได้ทำทุกๆ วันดีที่สุดแล้ว”

พี่เบิร์ดเล่าว่า แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ ผลงานทุกครั้งมาจากแฟนคลับ ด้วยความที่พี่เบิร์ดอยากทำให้แฟนเพลงทุกคนมีความสุข เฉกเช่นทุกๆ ครั้งที่เคยได้ฟังเพลงหรือดูคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ปีก็ตาม พี่เบิร์ดจึงต้องทุ่มเทดูแลตัวเองให้ดูดีทั้งภายนอกและภายใน เพื่อให้มีความพร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาดีที่สุด และทำให้แฟนคลับมีความสุขมากที่สุด จึงนับเป็นเรื่องจำเป็นที่พี่เบิร์ดต้องให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความคิดเพราะถือเป็น “สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด” และเป็นสินทรัพย์ที่นำไปสู่การสร้างสรรค์เนื้องานดีๆ ที่จะนำไปสู่ความสุขของแฟนเพลง

ตั้งแต่ตอนออกอัลบั้มชุดแรกเลย ตอนนั้นพี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) พูดว่า เราอยู่ในที่โล่งได้รับกลิ่นดอกไม้มากกว่าคนอื่น แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จะโดนแสงแดดแผดเผามากกว่าคนอื่นด้วย เพราะเป็นเป้าสายตาของทุกคน

ดังนั้นต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ พี่เลยเริ่มดูแลตัวเองมาเรื่อยๆ แต่ดูแค่นี้ยังไม่พอ พี่ต้องทำให้เขาเห็น เช่น สิ่งที่เขาเห็นคือร่างกายที่แข็งแรงของเรา ซึ่งตอนนี้พี่เบิร์ดคิดแล้วว่า พี่จะเลี้ยง ‘ลูกของพี่’ ให้ดี ซึ่งลูกของพี่ก็คือตัวของพี่เอง พี่จะเลือกให้เขากิน เลือกให้เขาอยู่เลือกให้เขานอน เลือกให้เขาออกกำลังกาย เลือกให้เขามอง เลือกให้เขาได้ยิน เลือกให้เขาทำ เพื่อให้เขาเป็นคนดีของสังคม จะได้เป็น ‘เบิร์ด’ ที่ออกไปมีแต่คนรัก ทั้งหมดนี้ พี่ต้องเตรียมทุกอย่างเลย ทั้งรูปร่าง หน้าตา ความคิดบวก ฝึกมันเข้าไว้ให้มาจากข้างใน และบอกตัวเองว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เพราะว่างานประจำของเราคือ การดูแลตัวเอง ปกติพี่จะเตรียมตัวมาตลอด ไม่ได้เตรียมเฉพาะงานใดงานหนึ่ง คือพี่เตรียมชีวิตของพี่เพื่อมาทำงานนี้ ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งต้องคิดมากขึ้นว่าทำยังไงถึงจะดี”

ธงไชย แมคอินไตย์

มีคนกล่าวว่า แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมีความเสี่ยงที่จะดำดิ่งสู่ความล้มเหลวได้ง่ายๆ จากความหลงระเริงในความสำเร็จ เช่นเดียวกันกับศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางเสียงชื่นชมยกย่อง ก็มีโอกาสตกสู่จุดต่ำสุดได้ไม่ยาก พี่เบิร์ดจึงมักเตือนตัวเองและรุ่นน้องในวงการที่กำลังก้าวขึ้นสู่บันไดแห่งความโด่งดังในเวลาอันรวดเร็วอยู่เสมอว่า การที่ทุกคนพร้อมจะเห็นด้วย และการที่ไม่มีคน (กล้า) ตำหนิ ถือเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับอาชีพศิลปิน นี่จึงทำให้พี่เบิร์ดต้องยิ่งเข้มงวดกับ ยิ่งมีคนชื่นชม ก็ต้องยิ่งทำตัวให้ดีสมกับคำชื่นชม

จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดคอนเสิร์ต “แบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์” ครั้งที่ 11 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา จึงได้รับคำชมว่ายังสนุกสนานถูกใจแฟนคลับเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา มิหนำซ้ำ พี่เบิร์ดในวัย 60 ปียังสร้างความแปลกใจให้กับผู้ชมผู้ฟังทุกคนว่า เหตุใดหุ่นพี่เบิร์ดยังดูดี ร่างกายยิ่งดูแข็งแรง กล้ามเนื้อดูบึกขึ้น และใบหน้าของพี่เบิร์ดกลับดูเด็กลง

ซึ่งทั้งหมดนี้ พี่เบิร์ดบอกว่า ประสบการณ์ที่มากขึ้นทำให้พี่เบิร์ดได้เรียนรู้จะพัฒนา “โนว์ฮาว (Know-how)” ในการดูแลตัวเองให้ดียิ่งขึ้นเพื่อที่จะเป็น “เบิร์ด-ธงไชย” ที่พร้อมจะมอบเสียงเพลง รอยยิ้ม และความสุขให้กับแฟนคลับต่อไป

“พี่มีความสุขกับชีวิตและการทำงานของพี่ตลอดนะ มีความสุขในทุกๆ วันที่รู้ว่าจะได้ทำงาน ถึงแม้ว่าชีวิตพี่เอง พี่โดนอะไรมาหนักๆ มากก็จริง แต่พี่ก็มีบทเรียนให้เรียนรู้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ว่าคิดได้ในทันที แต่มันก็ค่อยคิดได้หลังจากนั้น ทำให้พี่มีต่อมความเข้าใจ ต่อมร้องไห้ต่อมอะไรต่างๆ เกิดขึ้นมาครบหมด แล้วชีวิตก็มีเรื่องที่เสียใจจนแทบจะเป็นลมเลยเหมือนกัน แต่สุดท้ายชีวิตก็คือการเรียนรู้ว่า อะไรคือเรื่องที่ควรก้าวผ่าน หรือเรื่องไหนที่เราแก้ไม่ได้ก็ยอมรับมัน ฉะนั้น มันดีเหลือเกินกับการที่มีอายุเยอะขึ้น เพราะเราได้เรียนรู้ เข้าใจและฝึกฝนที่จะยอมรับหรือก้าวผ่านเรื่องต่างๆ มากขึ้น”

สำนวนที่ว่า “อายุเป็นเพียงตัวเลข” น่าจะเป็นจริงที่สุดสำหรับพี่เบิร์ด ไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่างหน้าตาภายนอก แต่ลึกลงไปถึงวิธีคิดและความเชื่อของ “ซุปตาร์” ระดับตำนานคนนี้โดยพี่เบิร์ดให้ข้อคิดว่า “ถ้าเราปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งที่คนคิดว่า “You’re so old.” มันก็จะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น อย่าไปเชื่อเรื่องอายุเราก็แค่ทำของเราไป ตื่นเช้ามาก็ออกกำลังกาย

เรากิน เรานอน เราตื่นตัว เราทำสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขแบบนี้ต่อไป ร่างกายและจิตใจมันก็จะยังรีเฟรชอยู่ตลอดเวลา คนมักจะขีดเส้นไว้ที่อายุ 60 หลังจากนั้นก็จะเป็นกราฟลง ถ้าเราไม่คิดต่อ มันจะติดอยู่แค่นั้น แต่พี่อยากบอกว่า หลัง 60 คือวงรอบถัดไปของธงไชย แมคอินไตย์ ทุกคนจะได้เห็นกัน ด้วยร่างกายที่แข็งแรง ด้วยหน้าตาที่ยังเด็กอ่อนวัย และยังกวนขนาดนี้ (หัวเราะลั่น) เรายังได้เห็นกันไปอีกนานแน่นอน”

สำหรับบริษัท มูลค่าแบรนด์คือดัชนีหนึ่งในการสะท้อนถึงความมั่งคั่ง (Wealth) ของบริษัทและเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น แต่สำหรับ “แบรนด์พี่เบิร์ด” ในมุมมองของพี่เบิร์ด ความมั่งคั่ง คือ ความรักจากบรรดาแฟนคลับแฟนเพลง ซึ่งหลายคนอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี ไม่เคยจากกันไปไหน ผูกพันรักใคร่กันมายาวนานและจะรักกันตลอดไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทุกครั้ง

หลังจบคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดทุกรอบ พี่เบิร์ดจะต้องเดินวนไปหาแฟนเพลงที่มายืนตั้งแถวรอเป็นร้อยเป็นพันคน เพื่อเอาของมาให้พี่เบิร์ดหรือเพียงเพื่อยืนรอจับมือ กอด หอม “ศิลปินในดวงใจ” ของตน

“พี่เติบโตมาจากความไม่มีอะไรเลย แต่ได้ความรักพ่อแม่ทดแทนเข้าไป มันอิ่มมากเดินมาเรื่อยๆ ก็เจอความรักที่ทุกคนให้มา ฉะนั้นเมื่อมันมีความรักแล้ว วันที่เราไม่มีอะไรมันยังแปลว่ามีอะไรเยอะเลย แล้วพี่จะไปตามหาอะไรอีก พี่ไม่ตามหาอะไรแล้ว เพราะแค่นี้มันก็เป็น Wealth ที่มีค่าที่สุดสำหรับพี่มากๆ ซึ่ง Wealth ตรงนี้ก็มาจากการที่เรารู้จักเป็นผู้ให้คนอื่นก่อน นั่นคือการให้ความสุขกับคนดู เมื่อเราส่งความสุขนั้นออกไปทำให้คนดูมีความสุข พลังแห่งความสุขเหล่านั้นก็จะถูกส่งกลับมาหาเรา กลายเป็นทรัพย์สินมหาศาลที่ตายไปก็ใช้ไม่หมด”

มีคนกล่าวว่า แบรนด์เป็นสิ่งมีชีวิต มีจิตวิญญาณที่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก และแรงบันดาลใจ แต่จับต้องได้ทางกายส่วนแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่มักเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รัก มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และมีความผูกพันกับผู้บริโภคทางอารมณ์ เพราะมักโฟกัส (Focus) เรื่องราวทั้งหมดไปที่ผู้บริโภค โดยทำทุกอย่างด้วยความเป็นธรรมชาติ และส่งมอบคุณค่าของแบรนด์เกินความคาดหมาย นิยาม ดังกล่าวจึงน่าจะเป็นคำตอบว่าเหตุใด “เบิร์ด-ธงไชย” จึงครองใจแฟนคลับมาได้ยาวนานกว่า 30 ปี และเหตุใด “แบรนด์พี่เบิร์ด” จึงได้รับยกย่องว่าเป็น “Personal Brand” ที่ประสบความสำเร็จของเมืองไทย

file

ความรู้สึกที่มีต่อ “ทิสโก้”

“เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีทิสโก้ พี่เบิร์ดพร้อมทั้งพวกเราทีมงานแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ขอร่วมแสดงความยินดีกับทางทิสโก้ด้วยครับ และขอขอบคุณที่ได้ร่วมสนับสนุนแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ครั้งที่ 11 ที่ผ่านมาครับ”

และในโอกาสที่ทิสโก้กำลังจะจัดแคมเปญระดมทุนครั้งใหญ่ให้แก่มูลนิธิรามาธิบดี เพื่อช่วยรักษาชีวิตให้แก่คนเจ็บไข้ได้ป่วย โดยมีทั้งการบริจาคเงินร่วมสมทบทุน และกิจกรรมวิ่งการกุศล ในฐานะศิลปินผู้มีโอกาสร่วมกิจกรรมการกุศลเพื่อการ “ให้” กับมูลนิธิรามาธิบดีมาโดยตลอด พี่เบิร์ดได้ฝากทิ้งท้ายถึงโครงการนี้ว่า

“ทุกกิจกรรมภายใต้โครงการนี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จึงอยากขอเชิญชวนให้พวกเรามาร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยรักษาชีวิตให้แก่คนเจ็บไข้ได้ป่วยในแคมเปญ ‘Friends for Life’ ในโอกาสครบรอบ 50 ปีทิสโก้ เพื่อจะได้ระดมทุนให้แก่ทางมูลนิธิรามาธิบดีกันเยอะๆ ซึ่งจะได้นำมาช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยของเราให้มีชีวิตยืนยาว เพราะเรื่องของการดูแลสุขภาพร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ และพี่เบิร์ดก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้น โอกาสนี้พี่เบิร์ดจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชาวไทยผ่านแคมเปญในครั้งนี้ด้วยคนครับ”

ทั้งนี้ ทิสโก้มี “มูลนิธิทิสโก้เพื่อการกุศล” ดำเนินงานมาแล้ว 36 ปี ในด้านการให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทั่วประเทศ โดยการมอบทุนการศึกษาแบบให้เปล่าปีละกว่า 5,000 ทุน ตั้งแต่เริ่มดำเนินงานได้มอบทุนการศึกษาไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 100,000 ทุน และยังได้สร้างอาคารเรียนมาตรฐานให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนในจังหวัดต่างๆ เป็นประจำทุกปี

ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของทิสโก้ นอกเหนือจากโครงการด้านพัฒนาการศึกษาที่ทำมาตลอดแล้ว ทิสโก้เล็งเห็นปัญหาความขาดแคลนด้านสาธารณสุขของประเทศที่เพิ่มมากขึ้นและยังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก จึงตั้งใจจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาด้านสาธารณสุขอย่างจริงจังเพิ่มขึ้นอีกโครงการหนึ่ง และมีแผนระยะยาวในการให้

ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยจะจัดแคมเปญ “Friends for Life” เพื่อระดมทุนให้แก่มูลนิธิรามาธิบดีในปี 2562