file

Southern Switzerland The Dream Destination

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 53 | คอลัมน์ Horizon

แม้ช่วงนี้การเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศอาจจะยังไม่สะดวกนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาพิเศษที่เหล่านักเดินทางจะได้เก็บข้อมูล หาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ในต่างแดน แล้วเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรอวันที่จะได้ออกไปสัมผัสกับโลกกว้างกันได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจและเป็นจุดหมายในฝันของใครหลายคน นั่นก็คือ สวิตเซอร์แลนด์

TRUST Magazine ฉบับนี้จะชวนคุณไป สัมผัสกับเมืองต่างๆ ที่มากด้วยเสน่ห์ ลัดเลาะ เส้นทางท่องเที่ยวในตอนใต้ (Southern Switzerland) ที่มีความหลากหลายด้านภูมิศาสตร์ เยือนดินแดนแห่งสวิสริเวียร่า ในม็องเทรอซ์ เที่ยวหมู่บ้านในอ้อมกอดขุนเขา ที่มือเรน ชื่นชมธรรมชาติและภูเขาที่ยิ่งใหญ่ในเซอร์แมท และผ่อนคลายในเมืองริมทะเลสาบ อันสงบงามแห่งลูกาโน…แม้จะยังแพ็กกระเป๋า ออกเดินทางในทันทีไม่ได้ แต่แค่วางแผนเตรียมเส้นทางเอาไว้ ตามคอนเซ็ปต์ “Dream Now, Travel Later” แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

ม็องเทรอซ์ ริเวียร่า (Montreux Riviera)

เนินเขาไล่ระดับทอดตัวลงสู่ทะเลสาบเจนีวา วิวของเทือกเขาแอลป์ปกคลุมด้วยหิมะทอดเงา สะท้อนลงในทะเลสาบ คือทิวทัศน์อันสวยสด งดงามราวกับโปสการ์ดของ ม็องเทรอซ์ (Montreux) เมืองที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา ดินแดนริมทะเลสาบแถบนี้ ได้ชื่อว่าสวิสริเวียร่า ประกอบด้วยเมืองเล็กๆ อันงดงามริมทะเลสาบมากมาย รวมทั้งจาก โลซานน์ มาม็องเทรอซ์ สู่ลาโวซ์ และเมืองเล็กๆ อย่างเวอเแว อันเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ศิลปินมากมายมาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น ชาลี แชปลิน หรือ เฟรดดี้ เมอร์คูรี แห่งวงควีนที่มาตั้งรกรากและสร้างผลงานดนตรีอัลบั้มสุดท้าย จนย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร เพราะตกหลุมรักในเมืองแห่งนี้จนกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณมองหาความสงบสุข ทางจิตวิญญาณ ให้มาที่ม็องเทรอซ์” นอกจากนี้ ที่นี่ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแจ๊ซอีกด้วย  โดยจะมีเทศกาลที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในฤดูร้อน

ธรรมชาติและทิวทัศน์อันขึ้นชื่อของม็องเทรอซ์มีชื่อเสียงขจรกระจายไปไกล ด้วยความงามของภูเขาจรดกับทะเลสาบ ที่มีเส้นทางให้นักท่องเที่ยวได้สำรวจมากมาย ทั้งทางบกและทางน้ำ อาทิ ยอดเขาโรเชอ เดอ เนย์ (Rochers de Naye) ที่ปกคลุมด้วยหิมะ ซึ่งสามารถขึ้นไปยังจุดชมวิวอันงดงามได้ด้วยรถไฟสาย Golden Pass Panorama เป็นต้น

file

ในแง่มุมแห่งประวัติศาสตร์ม็องเทรอซ์มีปราสาทชิลยอง (Castle of Chillon) ริมทะเลสาบที่มีความเก่าแก่นับพันปีที่น่าชม และถือเป็นโบราณสถานที่ได้รับการมาเยือนมากที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ป้อมปราการ และปราสาทได้รับการบูรณะและจัดแสดงให้เห็นถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งในส่วนที่สะท้อนความเป็นอยู่ของราชวงศ์ในอดีต ไปจนถึงห้องคุกใต้ดินที่ได้รับ การกล่าวขาน และตำนานของนักโทษแห่งชิลยองอันเป็นบทกวีอันมีชื่อเสียง

ทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ควรพลาดอย่าง Chaplin’s World ในเมืองเวอแว (Vevey) พิพิธภัณฑ์สร้างสรรค์ที่บอกเล่าชีวิตและ การทำงานของชาลี แชปลิน ซึ่งเขาได้เดินทางมาใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ เป็นเวลากว่า 25 ปี ปัจจุบันบ้านของแชปลินได้รับการอนุรักษ์ไว้ และเปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ถ่ายทอดผลงาน รวมทั้งอัตชีวประวัติและมุมชีวิตส่วนตัวของราชาหนังเงียบ ให้ผู้มาเยือนเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิด และได้รู้จักผลงานภาพยนตร์เรื่องต่างๆ พร้อมชมห้องต่างๆ ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้จนวาระสุดท้าย

file

สำหรับคอไวน์แล้วต้องไม่พลาดกับการมาเยี่ยมชมเมืองลาโวซ์ (Lavaux) ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา ทะเลสาบที่ถูกขนานนามว่าเป็นทะเลสาบรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก ที่เปรียบเสมือนสวรรค์บนดินของคนรักองุ่น และไวน์รสเลิศ ซึ่งมีพื้นที่ไร่องุ่นขั้นบันไดเก่าแก่นับพันปี ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในสวิตเซอร์แลนด์ ที่นี่ปลูกองุ่นกันมานับตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 โดยเหล่านักบวชได้ปรับเนินเขาให้เป็นไวน์เทอเรซ และสร้างกำแพงหินในการทำแปลงองุ่นขั้นบันไดที่รวมกันแล้วมีความยาวมากกว่า 500 กิโลเมตร และได้สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนในกลุ่มผู้ผลิตไวน์แห่งลาโวซ์จากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งกลายมาเป็นเมืองหลวงของไวน์ทัวริซึมแห่งแคว้นเจนีวาในปัจจุบันอีกด้วย  โดยมีพื้นที่ปลูกองุ่นครอบคลุมตั้งแต่เมืองลาโวซ์ไปจนถึงโลซานน์ นอกจากความงดงามของไร่องุ่นแล้ว ไวน์ที่นี่ยังให้ความหอมสดชื่น ถูกใจสำหรับคนรักไวน์แน่นอน

file

มือเรน (Murren)

นั่งรถไฟสู่อินเทอร์ลาเค่น เดินทางชมมือเรนเมืองในตำนานที่ได้ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,650 เมตร เมืองนี้ขึ้นชื่อว่า เป็นเมืองที่ปราศจากรถยนต์ อยู่ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยอดเขาชิลธอร์น (Schilthorn)  ต้องเดินทางต่อไปด้วยกระเช้า มือเรนเสมือนอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาที่รายล้อมด้วยทิวทัศน์อันตระการตาของยอดเขาสามแห่ง ได้แก่ ยุงเฟรา (Jungfrau) ไอเก (Eiger) และ มองซ์ (Monch) ให้ได้ชื่นชม ทำให้หมู่บ้านที่นี่ซ่อนตัวในหุบเขาราวกับในนิทานประมาณสองร้อยหลังคาเรือน มีโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก ให้เดินเล่นชมเพลินๆ หากใครได้มาต่างต้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน ถึงความน่ารักของผู้คนและหมู่บ้านแบบสวิตเซอร์แลนด์ ที่ดึงดูดให้ทุกคนต้องมาพิสูจน์ ความงามด้วยตาตนเองสักครั้งในชีวิต

ชมหมู่บ้านงดงามแล้ว ต้องไม่พลาดขึ้นกระเช้าที่ได้ชื่อว่ายาวที่สุดแห่งเทือกเขาแอลป์ เพื่อไปชมทิวทัศน์แบบพาโนรามาที่ชิลธอร์น ซึ่งมีความสูงกว่า 2,973 เมตร  จึงทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันตระการตาของยอดภูเขาหิมะเลื่องชื่อ ทั้งยุงเฟรา ไอเก และมองซ์ ได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ชิลธอร์นยังเคยเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง James Bond 007 ภาคยอดพยัคฆ์ราชินี “On Her Majesty’s Secret Service” กับฉากแอคชั่น ท่ามกลางหิมะ ซึ่งสวมบทบาทโดย จอร์จ เลเซนบี จึงทำให้บนนี้มีพิพิธภัณฑ์แบบอินเตอร์แอคทีฟของ ‘Bond World 007’ ที่จัดแสดงเรื่องราวน่ารู้จากภาคต่างๆ พร้อมให้ คุณได้สวมบทบาทบอนด์หรือสาวบอนด์กันได้อย่างสนุกสนาน ในเรื่องของอาหารการกิน ร้านอาหารที่นี่ก็ขึ้นชื่อไม่แพ้ใคร นั่นคือ ภัตตาคารอาหารพิซกลอเรีย (Piz Gloria) ภัตตาคารรูปทรงวงกลมที่สามารถหมุนแบบ 360 องศา ไปจนครบรอบใน 45 นาทีด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันสวยงามของยอดเขา พร้อมออกไปสัมผัสความหนาวเย็นได้ที่ Skyline View Platform

file

สำหรับนักเล่นสกีที่นี่คือจุดหมายปลายทางในฝันเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากที่นี่จะพร้อมให้บริการผู้เล่นทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นแล้วยังมีโรงเรียนสกีโดยผู้ฝึกสอนมืออาชีพ มีฐาน Swisscom Skimovie ให้คุณได้เก็บภาพความประทับใจในการเล่นสกีครั้งหนึ่ง (หรือครั้งแรก) ในชีวิต สำหรับใครที่ไม่ชอบความเบสิก ขอให้ขึ้นมาที่ลานสกีหมายเลข 9 Direttissima ดีกรีลานสกีที่ชันที่สุดในเขตยุงเฟรา ซึ่งรับรองว่าจะทำให้อะดรีนาลีนไหลท่วมตัวคุณ! ส่วนใครที่ชอบความต่อเนื่อง ต้องขึ้นไปลานบนสุดหมายเลข 10 Inferno ลานสกีที่มีความยาวถึง 15.8 กิโลเมตร แต่สำหรับคนที่ไม่ถนัดสกี ก็สามารถพบกับการผจญภัยแบบง่ายๆ ได้ ด้วยการเดินบน Skyline Walk ทางเดินกระจก หรือทางเดิน Thrill Walk ไต่บนเส้นลวด ซึ่งด้วยความสูงระดับนี้ เมื่อมองลงไปก็จะเห็นทั้งวิวในมุมที่แปลกใหม่และพื้นด้านล่าง ที่ขอบอกได้ว่าน่าหวาดเสียวและตื่นเต้นเอามากๆ

file

หากใครมีเวลาให้กับวาเลตตาอย่างเหลือเฟือลองนั่งเล่นที่นี่ซักพัก เพราะในอดีตสวนสวยแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ส่วนบุคคล แต่ตอนนี้เปิดให้สาธารณะชนเข้าไปชมและนั่งพักผ่อนได้สบายๆ


เซอร์แมท (Zermatt)

นับตั้งแต่รถไฟยังไม่เทียบท่าที่เมืองเซอร์แมท ทิวทัศน์สองข้างทางและยอดเขาทรงพีระมิดของแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ที่โผล่มาทักทายบนหน้าต่างกระจกของรถไฟก็ทำให้หัวใจของหลายคนพองโตได้แล้ว เมืองเซอร์แมทอยู่ในแคว้นวาเล (Valais) อันเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ที่รักสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติต้องมาเยือนสักครั้ง เซอร์แมทตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,620 เมตร ที่นี่ถือได้ว่าเป็นเมืองตากอากาศที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกทุกฤดูกาล ในฤดูร้อนนั้นเซอร์แมทคือสวรรค์ของผู้ที่รักชีวิตกลางแจ้ง ด้วยเส้นทางเดินเขาอันหลากหลาย ที่รวมกันเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรให้เลือกเดินไปตามภูเขาสูงต่างๆ ซึ่งเต็มไปด้วยทุ่งหญ้า ป่าสน และดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง ในแคว้นนี้มีภูเขาสูงหลายลูกให้เดินสำรวจ โดยมีจุดเริ่มต้นเส้นทางจากเซอร์แมท ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่คือจุดนัดพบสำหรับนักสกีที่มาทดสอบเส้นทางสกีอันแสนท้าทาย

เมืองแห่งนี้เป็นจุดชมยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นที่มีความสูงกว่า 4,478 เมตร ยอดเขาแห่งนี้ปรากฏให้เห็นคุ้นตาจากฉลากช็อกโกแลต Toblerone ทว่าในความเป็นจริงมันยิ่งใหญ่กว่านั้นมากมายนัก ภูเขาแห่งนี้ได้รับการพิชิตเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 1865 โดย เอ็ดเวิร์ด วิมเปอร์ นักปีนเขาชาวอังกฤษและคณะรวมเจ็ดคน ทุกวันนี้การเข้าชมความงามของแมทเทอร์ฮอร์นง่ายกว่ายุคก่อนมากมายนัก นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมยอดเขานี้ได้จากหลายมุมมองด้วยการขึ้นกระเช้าไปชมจากจุดต่างๆ เช่น ยอดเขาโรธอร์น (Rothorn) จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามให้มุมมองรอบทิศหรือชื่นชมผ่านการท่องเที่ยวทะเลสาบชื่อดังรอบแมทเทอร์ฮอร์น เพื่อดื่มด่ำความสงบและถ่ายรูปเงาสะท้อนในน้ำของภูเขาแมทเทอร์ฮอร์นอันเป็นกิจกรรมยอดนิยม อาทิ ทะเลสาบขวัญใจช่างภาพชเตลลิเซ (Stellisee) ที่ถ่ายภาพออกมาแล้ว มุมปังที่สุด และทะเลสาบ กรินยิเซ (Grindjisee) ที่สวยงามกินกันไม่ลง เป็นต้น

file

เมืองเซอร์แมทถือเป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และมีการออกแบบระบบเมืองด้วยแนวคิดเมืองสีเขียวและการอนุรักษ์พลังงานอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองที่ต้องเดินทางด้วยการเดินเท้า รถม้าลากจักรยาน อี-แท็กซี่ และอี-บัส จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเซอร์แมทถึงเคยได้รับรางวัลเมืองเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมเมืองสูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองเล็กๆ น่ารัก ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของที่พักแบบไม้สนประดับด้วยกระถางดอกไม้สีสดริมหน้าต่างและธงทิวสีแดงของสวิตเซอร์แลนด์ที่ปลิวไสวในสายลม ราวเชื้อเชิญให้ผู้คนที่มาเยือนเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันสุดงดงามราวกับภาพในโปสการ์ด บริเวณกลางเมืองยังมีพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ลึกลงไปภายใต้ดิน ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นโดมแก้วรูปยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น ภายในบอกเล่าเรื่องราวทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวกับเทือกเขาแอลป์ ไปจนถึงตำนานการพิชิตยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น รวมถึงสิ่งของน่าสนใจอื่นๆ มากมาย


ลูกาโน (Lugano)

ลัดเลาะมาถึงตอนใต้สุดของสวิสเซอร์แลนด์ที่ติดกับพรมแดนอิตาลี เป็นที่ตั้งของเมืองลูกาโน (Lugano) ซึ่งอยู่ในแคว้นติชิโน (Ticino) แถบนี้ได้ชื่อว่าเป็นย่านวัฒนธรรมอิตาเลียนในสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นดินแดนอันสดใสด้วยแสงแดดที่มีมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ที่นี่จึงเป็นพื้นที่ตากอากาศของชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่เดินทางมาพักผ่อนในบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน อิ่มเอมกบับทิวทัศน์ของทะเลสาบสวยงามที่เล่นแสงระยิบระยับ รวมทั้งทิวทัศน์อันตระการตาของเทือกเขา ลูกาโน พรีแอลป์ (Lugano Prealps) ที่อยู่เบื้องหน้า

กิจกรรมโดดเด่นของเมืองแห่งนี้นอกจากกินดื่มในย่านดาวน์ทาวน์แสนน่ารัก และการชอปปิงในแถบ Via Nassa ภายใต้แสงแดดและลมเย็นจากทะเลสาบลูกาโน หรือว่าเดินเล่นชมวิวในสวนสาธารณะริมทะเลสาบที่ Parco Civivo แล้ว ยังมีกิจกรรมทางน้ำๆ เช่น การล่องเรือหรือแม้แต่การว่ายน้ำ คือความเพลิดเพลินที่หาได้ง่ายๆ จากเมืองแห่งนี้

แลนด์มาร์กสำคัญแห่งหนึ่งของของลูกาโนคือยอดเขา ซาน ซัลวาทอร์ (San Salvatore) ที่สูงกว่า 912 เมตร ในฤดูกาลท่องเที่ยวจะมีรถรางสายเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 125 ปีแห่ง ลูกาโน พาราดิโซ (Lugano-Paradiso) พานักเดินทางไปถึงยอดเขา ซึ่งสามารถเดินต่อขึ้นไปถึง ซานตา มาเรีย เดกลี แองเจลี (Santa Maria Degli Angeli) โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 แล้วนั่งเพลินชมวิวพาโนรามาของเมืองลูกาโนที่มีทะเลสาบและทิวเขาที่งดงามอยู่เบื้องล่าง

file

จากลูกาโนมีเส้นทางเดินเท้าที่สามารถเดินลัดเลาะผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยที่น่ารักได้เริ่มต้นจากยอดเขา ซาน ซัลวาทอร์ ที่ตัดผ่านป่าลัดเลาะผ่านหมู่บ้านต่างๆ ไปจนถึง มอร์โคทตี (Morcote) ซึ่งเป็นเมืองน่ารักๆ ติดทะเลสาบที่อยู่ลึกเข้าไปและสามารถเข้าถึงได้ด้วยทางเรือกิจกรรมล่องเรือชมความงามของทะเลสาบลูกาโนถือเป็นไฮไลท์ ทั้งการล่องเรือประจำทางไปตามทะเลสาบหรือการดื่มด่ำกับมื้ออาหารค่ำบนเรือในบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน รวมทั้งการเดินทางท่องเที่ยวยังเมืองอื่นๆ ริมทะเลสาบอย่าง มอร์โคทตี และ ปงเทรซ่า (Ponte Tresa) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะเที่ยว แวะพักตามเมืองเหล่านั้นได้ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้ได้ซึมซับความงามและความเงียบสงบของเมืองน่ารัก ที่ซุกซ่อนอยู่ริมทะเลสาบเพื่อรอคอยให้นักเดินทางได้มาสัมผัสกับตัวเองสักครั้ง


Info

  • Visa: นักท่องเที่ยวชาวไทยต้องยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวเข้าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศ Schengen Currency ถึงแม้สวิตเซอร์แลนด์จะเป็นหนึ่งในประเทศยุโรป ที่สามารถใช้วีซ่าเชงเก้น แต่ยังนิยมใช้สกุลเงินฟรังก์สวิสเป็นหลัก (CHF)เช่นเดียวกับสกุลเงินยูโร (EUR)
  • Getting There: จากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางด้วย สายการบินสวิส อินเตอร์เนชั่นแนลแอร์ไลน์ หรือว่าการบินไทย ซึ่งมีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองซูริค
  • เช็กเที่ยวบินได้ที่ www.swiss.com และ www.thaiairways.com
  • Getting Around: ระบบขนส่งมวลชนโดยเฉพาะรถไฟที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่สมบูรณ์ ทำให้การเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์สะดวกสบาย แนะนำให้ใช้ตั๋ว Swiss Travel Pass แบบ All-in-one ที่พาคุณเที่ยวได้อย่างครบวงจร สามารถเลือกจำนวนวันได้ เช่น 3, 4, 8 หรือ 15 วัน ใช้ได้กับรถไฟ รถราง รถประจำทาง และเรือทั่วประเทศ รวมถึงเส้นทางยอดนิยม เช่น Glacier Express, Bernina Express, Golden Pass Line และ Gotthard Panorama Express อีกทั้งผู้ถือบัตรมีสิทธิ์ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์มากกว่า 500 แห่ง ทั่วประเทศฟรี สามารถตรวจสอบและวางแผนการเดินทางได้ที่ www.mystsnet.com