file

ขนิษฐา ดรุณเนตร เผยเสน่ห์ความเป็นหญิงผ่านแบรนด์ CANITT

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 53 | คอลัมน์ New Generation

ความสง่างาม ความน่าหลงใหล และความมั่นใจ เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องการทุกครั้งที่พวกเธอแต่งตัว แต่หาใช่ว่าทุกแบรนด์จะรังสรรค์ให้ได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงไซส์เล็ก “คุณขนิษฐา ดรุณเนตร” หนึ่งในฐานะหญิงสาวร่างเล็ก ผู้รักการแต่งตัว ได้เปลี่ยน Pain Point และ Passion มาเป็นเชื้อเพลิงแห่งแรงบันดาลใจในการปลุกปั้น CANITT แบรนด์เสื้อผ้าสตรีหรูหรา ด้วยความปรารถนาที่จะส่งผ่านเสน่ห์เย้ายวนแห่ง “ความเป็นหญิง (Feminine)” เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนได้เฉิดฉายอย่างมั่นใจในแบบฉบับของตน


จาก AE สู่เจ้าของแบรนด์ CANITT

ภาพหญิงสาววัยทำงานที่เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ ทั้งความสวย ความสามารถ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน และความมั่นใจในตัวเอง ยิ่งอยู่ในชุดที่เธอเลือกมาใส่ ยิ่งทำให้เสน่ห์ของเธอดูโดดเด่น สง่างาม และเปล่งประกาย นั่นคือความรู้สึกหลังจากที่ทีมงาน TRUST Magazine ได้พบกับ คุณขนิษฐา ดรุณเนตร Creative Director และเจ้าของแบรนด์ CANITT

ถนนสายอาชีพของแฟชั่นดีไซเนอร์หลายคนมักเริ่มต้นจากการค้นพบว่าตนเองรักในงานศิลปะ ชื่นชอบในเรื่องการแต่งตัวแล้วไปจบที่การเรียนด้านศิลปะหรือด้านแฟชั่นและสั่งสมประสบการณ์ในวงการแฟชั่น ก่อนที่จะเปิดแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง เแต่สำหรับคุณขนิษฐา เส้นทางแฟชั่นดีไซเนอร์เริ่มต้นจากงาน AE (Account Executive) ในเอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่ง

“ตอนอายุ 29 ปี เราเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับการใช้ชีวิตพนักงานประจำมา 5 ปี เริ่มอยากมีกิจการของตัวเอง ก็เลยมานั่งคิดว่าเราชอบอะไร มี Passion กับอะไร สุดท้ายก็มาโฟกัสที่เสื้อผ้า เพราะเราชอบแต่งตัวมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งตอนทำงาน AE เราสนุกกับการเลือกเสื้อผ้าและแต่งตัวไปพบปะลูกค้าบวกกับความเชื่อว่าการแต่งตัวเป็นการบ่งบอกตัวตนของผู้หญิงได้มากที่สุด แต่เราเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ไม่ได้สูงมาก เป็นไซส์พิเศษ ทำให้หาชุดที่ใส่แล้วดูสง่าและพอดีตัวได้ค่อนข้างยาก เราก็เลยไปศึกษาเกี่ยวกับสรีระผู้หญิง โดยเฉพาะสาวไซส์เล็ก เพื่อหาว่าควรใส่เสื้อผ้าแบบไหน และเอาจุดนี้มาเป็น DNA ของแบรนด์”

คุณขนิษฐาอธิบายถึง DNA ที่เป็นจุดแข็งของแบรนด์ CANITT ว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่เข้าใจผู้หญิงเอเชีย (ตัวเล็ก ไม่สูงมาก) ที่ต้องการเสื้อผ้าที่ใส่แล้วดูหรูหรา สง่างาม ช่วยดึงเสน่ห์และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ เพราะนอกจากเธอเองจะเป็นทั้งลูกค้าตัวยงของแบรนด์ CANITT แล้ว ยังควบตำแหน่งทั้ง Creative Director และ Head Designer รวมถึงเจ้าของแบรนด์ด้วยในคนเดียวกัน

ด้วยคติส่วนตัวที่ว่า “เมื่อทำอะไรแล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด” หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำธุรกิจเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ เธอจึงเริ่มต้นเรียนรู้พื้นฐานด้านแฟชั่นดีไซน์ ตั้งแต่แนวคิดการออกแบบ การทำแพทเทิร์น การตัดเย็บชุดและเทคนิคตัดเย็บต่างๆ ฯลฯ พร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานด้านแฟชั่นจากสถาบัน CIDI (Chanapatana International Design Institute) ในสาขา Fashion Design เป็นเวลา 1 ปี ควบคู่ไปกับการเริ่มก่อร่างสร้างแบรนด์ CANITT ขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อน

“เมื่อเราทำอะไรด้วยใจรัก และรักในสิ่งที่ทำถึงจะมีช่วงที่เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่สุดท้ายเราก็อยากจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด แล้วเราจะมีความสุขที่ได้ทำ ได้พัฒนา และได้เห็นแบรนด์เติบโต”


“อัตลักษณ์” แห่งหญิงสาวฉบับ CANITT

คุณขนิษฐาเล่าว่า คอนเซ็ปต์ของ CANITT อธิบายได้ด้วย 3 คาแรกเตอร์หลักที่เป็นเสมือน DNA ของแบรนด์ เริ่มจาก Dazzling คือ ความเปล่งประกาย ความเฉิดฉาย ซึ่งคาแรกเตอร์นี้ถูกวางไว้มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์

“เราเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนล้วนมีเสน่ห์ มีความเปล่งประกายอยู่ในตัวเองอยู่ที่ว่า เราจะทำให้จุดเด่นหรือเสน่ห์ของพวกเธอเฉิดฉายได้แค่ไหน ซึ่งเสื้อผ้าของ CANITT มีหน้าที่ดึงความเปล่งประกายออกมา ทำให้พวกเธอมั่นใจในตัวเองว่าเธอสวยและมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตนเอง”

คาแรกเตอร์ต่อมา คือ Sophisticated หมายถึง ความซับซ้อน น่าค้นหา ซึ่งต่อยอดมาจากคาแรกเตอร์ Graceful คือความโก้หรู สง่างาม และสุดท้าย Urban Feminine คือ ความเป็นผู้หญิงทำงานในเมือง ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนหวาน ขณะเดียวกันก็มีความทะมัดทะแมง และยังมีเสน่ห์บนความมั่นใจในตัวเองและรู้คุณค่าของตัวเอง ตามสไตล์ของผู้หญิงทำงานยุคใหม่ในแบบ CANITT

file

ความโก้หรูสไตล์เฟมินีน (Feminine) ในแบบ CANITT แสดงออกผ่านแพทเทิร์นที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง และใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น จับเดรป ซ้อนเลเยอร์ ใช้ซิลลูเอทที่แตกต่าง ฯลฯ เพื่อเพิ่มความน่ามอง เย้ายวน ช่วยเสริมจุดเด่นและอำพรางจุดด้อยในเรือนร่างผู้หญิง การใช้คัตติ้งที่เข้ารูปพอดีตัว การใช้ลายพิมพ์เพิ่มความอ่อนหวาน น่าหลงใหลและความมีชีวิตชีวา การใช้ผ้าซิลค์ ผ้าซาติน ผ้าชีฟอง ผ้าลูกไม้ และผ้าซีทรู เพิ่มความสง่า พลิ้วไหว และเสน่ห์ความเป็นหญิง การใส่ดีเทล ลูกเล่น ปักเลื่อม ตกแต่งด้วยคริสตัลหรือแมททีเรียลอื่น ฯลฯ เพิ่มความหรูหรา สนุกสนาน น่าค้นหา รวมถึงการใช้โทนสีเพิ่มความคลาสสิกและเพิ่มมิติในการมิกซ์แอนด์แมทช์ (Mix & Match) เป็นต้น

CANITT ยังมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ อยู่ที่การตีความความงามทางแฟชั่นในแต่ละยุคสมัยผสมผสานกับความเป็น “คานิท” และไลฟ์สไตล์ของหญิงสาวสมัยนี้ นำมาสร้างสรรค์เป็นแฟชั่นลุคใหม่ที่มีเสน่ห์น่าค้นหา อย่างคอลเลกชันล่าสุด (Spring/Summer 2020) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Frida Kahlo ศิลปินหญิงชาวเม็กซิกันผู้ทรงพลังแห่งวงการดีไซน์ และแฟชั่น ในฐานะ “Feminist” ผู้รักอิสระ กล้าเลือกทางเดินของตัวเอง และกล้านำเสนอเรื่องราวตัวเองผ่านผลงานศิลปะ

“อีกความโดดเด่นของแบรนด์ คือความเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ ที่เป็นเสมือนตัวแทนผู้หญิงที่มีหลากหลายอารมณ์ในการแต่งตัว เช่น ลุคเท่ ลุคเปรี้ยว ลุคหวาน ฯลฯ เราจึงมีเสื้อผ้าหลากหลายสไตล์ เพื่อให้เข้ากับอารมณ์ที่มีหลากหลาย เข้ากับกิจวัตรและกาลเทศะ โดยมีให้เลือกทั้ง “ไอเท็ม” เด่นประจำซีซั่น และ “ไอเท็ม” คลาสสิกที่หยิบมาสวมใส่ได้ตลอดไม่มีล้าสมัย เพื่อให้ผู้หญิงสนุกกับการหยิบเสื้อผ้ามา Mix & Match และสนุกกับสไตล์ที่ตรงกับอารมณ์และกิจวัตรที่หลากหลาย”

file

Key Success ธุรกิจแฟชั่นในยุค New Normal

“แฟชั่นเป็นอะไรที่ท้าทายมาก เพราะไม่มีผิด ไม่มีถูก ไม่มีกฎเกณฑ์ อยู่ที่ว่าสิ่งที่เรามองว่าสวยสมบูรณ์แบบแล้ว จะถูกใจลูกค้าด้วยไหม แล้วแฟชั่นเป็นอะไรที่ไม่อยู่นิ่ง วิ่งตลอดเวลา และวิ่งเร็ว ไม่ใช่แค่ต้องเปลี่ยนตามฤดูกาล (Season) แต่ยังต้องปรับตามความต้องการของตลาดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างช่วง COVID-19 ซึ่งปกติช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงเปิดตัว Winter Collection แต่เมื่อลูกค้าเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ เราก็ต้องปรับดีไซน์ ปรับแผนทันที แล้ววันนี้ธุรกิจแฟชั่นแข่งขันสูงมาก หลายแบรนด์เริ่มมีสไตล์คล้ายกันมาก ฉะนั้นการคิดเร็ว ทำเร็ว ปรับตัวเร็วจึงสำคัญมาก เพราะถ้าเราช้า ก็กลายเป็นว่าเราตามหลังคนอื่น ลูกค้าก็อาจจะซื้อจากแบรนด์อื่นไปก่อนแล้ว แล้วเราก็ตกเทรนด์ไป”

นอกจากนี้ ยังมี “หัวใจสำคัญ” ของธุรกิจแฟชั่นนั้น ก็คือ ดีไซน์ที่โดดเด่นและคุณภาพการตัดเย็บ ตลอดจนแรงบันดาลใจ ความครีเอทีฟ และความกล้าคิดต่าง ที่แฝงอยู่ในดีไซน์เสื้อผ้าแต่ละชุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสั่งสมเป็น “ความเชื่อใจ” และกลายเป็น “ความภักดี” ที่ลูกค้าจะมีต่อแบรนด์ ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่ลืม “กุญแจสำคัญ” ในการทำธุรกิจ ประกอบด้วยการบริหารจัดการที่ดี ทั้งการบริหารจัดการสต็อกและวัตถุดิบ การบริหารบุคลากร การบริหารแผนการผลิตให้ทันกับ Season การบริหารแผนการตลาดและการขาย รวมถึงการบริหารจัดการทางการเงิน ฯลฯ

“ยิ่งพอ COVID-19 มา เราก็ยิ่งต้องบริหารจัดการให้ดี นอกจากจะต้องมีสินค้าใหม่ๆ ช่องทางใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป เช่น หันมาชอปปิงออนไลน์ เดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ ฯลฯ แล้ว ก็ยังต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการบริหารสต็อก เพื่อไม่ให้ต้นทุนจม แต่ก็ต้องไม่ให้เสียโอกาสในการขายพร้อมกับคิดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อ แต่ต้องไม่ทำให้เสียแบรนด์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เราต้องรีบคิดและรีบทำทันที”

คุณขนิษฐามองว่า ประสบการณ์ทำงานสมัยเป็น AE ช่วยเธอได้อย่างมากในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยเฉพาะในเรื่องทักษะการบริหารจัดการ กระบวนทัศน์ทางธุรกิจและการตลาด รวมถึงทักษะการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น และทักษะการทำความเข้าใจลูกค้า ซึ่งแฟนคลับของแบรนด์มีตั้งแต่เป็นวัยสาวแรกรุ่น ผู้หญิงทำงานรุ่นใหม่ ไปถึงระดับผู้บริหารสาวรุ่นใหญ่ ที่ต้องการเสื้อผ้าที่มีเสน่ห์ตามแบบฉบับผู้หญิงทำงานยุคใหม่ที่มั่นใจในความสวยในแบบของตัวเอง

ใช้ชีวิตให้ Work-life Balance

คุณขนิษฐาเล่าว่า ปัจจุบันชีวิตของเธอมีหลายบทบาท นอกจากการเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้า ที่มีภารกิจในการดูแลธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโต และต้องดูแลลูกน้องอีกหลายชีวิต เธอยังมีบทบาทในฐานะลูกสาวที่มีหน้าที่ดูแลพ่อแม่ของเธอ และบทบาทของลูกสะใภ้ที่มีหน้าที่ดูแลพ่อแม่ของสามี ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ภรรยาที่ต้องดูแลสามีและอีกบทบาทที่สำคัญมาก ก็คือบทบาทของคุณแม่ของลูกชายวัย 11 ปี

“เพราะเรามีหลายบทบาทหน้าที่มาก ดังนั้น ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษาสมดุลชีวิตและการทำงาน โดยเฉพาะการแบ่งเวลาให้กับครอบครัวและทำกิจกรรมกับลูกชายเพราะอีกหน่อยพอเขาโตแล้ว เขาก็จะไปใช้เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงมากกว่า พอถึงวันนั้น ต่อให้เราอยากย้อนเวลากลับมา ก็ทำไม่ได้แล้ว และยังมีอีกพาร์ทหนึ่งที่ลืมไม่ได้ คือเราต้องรักตัวเองและหาเวลาดูแลตัวเองด้วย เพื่อที่เราจะได้มีร่างกายที่แข็งแรงและพร้อมจะทำบทบาทต่างๆ ได้อย่างไม่บกพร่อง”

สำหรับการแบ่งเวลาให้ครอบครัว เธอเล่าว่า เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ที่เธอจะยกเลิกทุกนัดในวันอาทิตย์ เพื่อเก็บให้เป็นวันครอบครัวสำหรับอยู่บ้าน ทำกิจกรรม ทานข้าวกับครอบครัว หรือออกไปเที่ยวกับครอบครัว ในส่วนของการดูแลตัวเอง เธอจะหาเวลาออกกำลังกาย ด้วยการเข้ายิมอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

file

ความประทับใจต่อทิสโก้

“การลงทุนก็เหมือนกับการเลือกเสื้อผ้าที่เราจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เหมาะกับเรือนร่างของเรา ซึ่งด้วยภาระหน้าที่และบทบาทที่หลากหลาย ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะโฟกัสกับเรื่องของการลงทุนอย่างเต็มตัว เลยต้องให้ความสำคัญกับการเลือก Wealth Advisory เป็นพิเศษ โดยสิ่งที่ให้น้ำหนักเป็นเรื่องแรก คือความน่าเชื่อถือของบริษัท เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงิน ตามมาด้วยการบริการที่จริงใจ ใส่ใจ และความแอคทีฟของ RM (Relationship Manager) ในการอัพเดตข้อมูล พร้อมคำแนะนำดีๆ สำหรับเป็นแนวทางในการตัดสินใจ ก็เลยทำให้เราวางใจที่จะให้ทิสโก้ช่วยดูแลพอร์ตลงทุนให้เรา”