file

Southern Switzerland The Dream Destination

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 54 | คอลัมน์ Horizon

ความงดงามน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติเบื้องหน้า ทำให้สมองแล่นเริงโลด แต่ใจนั้นกลับนิ่งสงบสุข ที่นี่ เซา มีเกล (São Miguel) คือจุดหมายปลายทางอันชวนเสน่หาสำหรับผู้ปรารถนาธรรมชาติ ความน่าทึ่งเร้นลับ และอากาศที่ทำให้เราอยากตักตวงไว้เต็มปอด

ฉันรักการเดินทาง มันไม่ใช่แค่การเคลื่อนย้ายตัวเองจากที่หนึ่งไปยังจุดหมายอีกที่หนึ่ง แต่มันคือการที่ทำให้เราได้สัมผัส ค้นพบ และเรียนรู้ ทั้งสถานที่และผู้คน รวมถึงตัวเราเอง หลายๆ ครั้งของการเดินทาง ทำให้เราได้พบมากกว่า
ที่เราคาดฝัน โดยเฉพาะการมาเยือน เซา มีเกล 1 ใน 9 ของหมู่เกาะอะซอร์ส (Azores) อันเป็นเขตปกครองตนเองของโปรตุเกส ซึ่งเกาะทั้ง 9 นี้อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เกิดจากภูเขาไฟ เดิมนั้นไม่มีผู้คน ไม่มีสัตว์ จนกระทั่งวันหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 15 นักสำรวจชาวโปรตุเกสก็ได้เดินทางมาค้นพบหมู่เกาะอะซอร์สนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นความหลากหลายของชีวิตบนหมู่เกาะแห่งนี้ และกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 2,000 ปี

เกาะทั้ง 9 ของอะซอร์ส ล้วนมีความโดดเด่น ต่างกันไป แต่ละเกาะมีภูเขาหินอัคนี ผืนป่าสีเขียว น้ำตกที่ไหลลงมารวมกันเป็นแอ่งน้ำทะเลสาบทรงกลม บ้างก็เต็มไปด้วยดอกไฮเดรนเยียสีขาว สีฟ้า สีม่วงที่ผลิบานเต็มสองข้างทางของถนน ให้ทัศนียภาพที่งดงามประหนึ่งภาพจากโปสการ์ด อะซอร์สเป็นหมู่เกาะแห่งแรกที่ได้รับการประเมินรับรองจาก Earth Check องค์กรระดับโลกด้านมาตรฐานการจัดการและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จนอาจกล่าวได้ว่าที่นี่คือ One of The Top Sustainable Destination in The World ที่เหมาะแก่การหลีกเร้นจากโลกอันวุ่นวาย แล้วดำดิ่งสู่ธรรมชาติอย่างแท้จริง

ครั้งแรกของการมาเยือน แนะนำให้เลือกบินมาที่ เซา มีเกล ไม่ใช่แค่เพราะเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะทั้ง 9 แต่เป็นเกาะที่ได้ฉายาว่าเป็น Green Island ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีการปั่นกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และกังหันลมไว้ใช้ ทั้งยังเป็นเกาะแห่งความชอุ่มชุ่มชื่นที่งดงามไปด้วยแอ่งทะเลสาบขนามหึมา ผืนป่าเขียวขจี น้ำตก สระน้ำพุร้อน ทะเลสีคราม และทิวทัศน์ชวนตะลึง รวมถึงยังมีรีสอร์ท โรงแรมดีไซน์สวย และร้านอาหารที่ทำให้เราเพลิดเพลินได้ทั้งรสชาติและบรรยากาศ


Ponta Delgada

วันแรกของการมาเยือน ควรเลือกที่พักไม่ไกลจากสนามบิน เพื่อที่จะได้มีเวลาชมเมืองปงตา แดลกาดา (Ponta Delgada) เมืองหลวงของหมู่เกาะอะซอร์ส ซึ่งอยู่ที่ เซา มีเกล ห่างจากสนามบินแค่  2 กิโลเมตร มี Grand Hotel Acores Atlantico โรงแรมหรูประจำเมืองที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ตกแต่งแบบคลาสสิก มีห้องพักที่เห็นวิวมหาสมุทรเต็มตา แต่ถ้าชอบการตกแต่งแบบโมเดิร์น แนะนำ Azor Hotel ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันโดยห้องพักและบาร์ของที่นี่ก็เห็นวิวมหาสมุทรเช่นกัน แต่ถ้าชอบที่พักแบบอบอุ่นเสมือนอยู่บ้าน Herdade do Ananas ฟาร์มสเตย์เก๋ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแห่งนี้ จะทำให้คุณตกหลุมรักได้ไม่ยาก ห่างออกไปหน่อย จากสนามบินเกือบ 9 กิโลเมตร มี White Exclusive Suites & Villas บรรยากาศแบบบ้านพักสีขาวริมทะเล หรูหรา ทว่ายังมีความเป็นธรรมชาติอยู่

file

แม้จะเป็นเมืองหลวงของอะซอร์ส แต่บรรยากาศของเมืองปงตา แดลกาดานั้นห่างไกลจากความอึกทึกคึกคัก ถนนทางเดินอันสะอาดตาของที่นี่มีจำนวนคนประปรายต่างกันลิบลับกับลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงของโปรตุเกสอย่างสิ้นเชิง อาคารบ้านเรือนที่ปรากฏให้เห็นในเขตเมืองเก่ามักมีหินอัคนีเป็องค์ประกอบ และเป็นสถาปัตยกรรมจากสมัยศตวรรษที่ 16 อย่าง โบสถ์เซา เปโดร (Sao Pedro Church) และอิเกรจา ดิ เซา เซบาสเตียว (Igreja de Sao Sebastiao) หนึ่งในแลนด์มาร์กของเมือง ซึ่งเป็นโบสถ์สไตล์ผสมผสานทั้งโกธิค โปรตุกีส และมีส่วนประดับประดาแบบบาโรกในยุคศตวรรษที่ 18

เดินถัดมาไม่ไกลนักจะพบกับ The Town Hall ศาลากลางของเมือง ที่มีลักษณะเป็นอาคารหน้าตาเรียบๆ แต่มีน้ำพุเป็นเครื่องเชิดชู ที่นี่มีจุดเช็กอินที่คนนิยมมาถ่ายรูปด้วย นั่นคือซุ้มประตูเมือง ปอร์ตาส ดา ซิดาดิ (Portas da Cidade) ที่เขาว่ากันว่าหากใครได้ไปยืนอยู่ใต้ซุ้มแล้วอธิษฐานจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง

พอตกยามเย็นก็ได้เวลาเพลิดเพลินไปกับอาหาร และในเมื่ออยู่บนเกาะทั้งที ความพิเศษของอาหารมื้อนี้ คงจะขาดอาหารทะเลเลิศรสไปไม่ได้ โดยเมนูแนะนำที่น่าสนใจมีหลายเมนู เริ่มจากเมนูแรก เอาใจคนชอบลองของแปลกกับเมนู Cracas หอยที่มีที่อะซอร์สเท่านั้น โดยจะนำมาต้มกับน้ำทะเล ซึ่งผ่านกรรมวิธีการปรุงให้สุกอย่างพิถีพิถันในแบบเฉพาะตัว แล้วเสิร์ฟให้ทานแบบเย็น ส่วนวิธีการกินก็ไม่ธรรมดา เพราะต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะในการดึงให้เนื้อหอยออกมา อาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย แต่หากได้กินแล้ว ต้องติดใจในรสหวานของหอยและเนื้อหนึบๆ ที่สัมผัสได้ถึงความสดใหม่แน่นอน ใครอยากลองต้องไปที่ร้าน Mariserra ที่นี่จะเสิร์ฟอาหารทะเลแบบดั้งเดิม

file

นอกจากนี้ยังมีเมนู Grilled Azorean Limpets หอยลิมเปตจานร้อน ที่ทานคู่กับเนย กระเทียม พริกแดง ที่ยิ่งได้บีบมะนาวลงไปสักนิด ยิ่งเพิ่มรสชาติอร่อยแบบสุดๆ จานนี้หากินได้ตามร้านอาหารทะเลหลายแห่งบนเกาะ แต่ร้านดังคือ A Tasca แนะนำว่าควรจองโต๊ะล่วงหน้าก่อนไป ส่วนใครอยากลิ้มลองอาหารทะเลเกือบจะฟิวชันที่ผสานความเป็นโปรตุเกสเจือญี่ปุ่นเอาไว้ ขอแนะนำ ร้าน Õtaka กับเมนูหอยลิมเปตที่เสิร์ฟมาพร้อมซอสยูซุ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูดังของร้านที่คนนิยมสั่ง และหากจะให้ดีสั่งเมนูอาหารทะเลแล้ว ก็ต้องไม่พลาดสั่งไวน์ท้องถิ่นมาทานคู่กัน เพื่อเพิ่มอรรถรสของอาหาร

ยามเช้าเจียดเวลาสักหน่อย ไปเดินเล่นบนถนนเลียบมหาสมุทร แล้วแวะไปส่อง เมอร์คาดู ดา กรากา (Mercado da Graça) ตลาดที่มีทั้งอาหารสด ผัก ผลไม้ ร้านอาหาร และร้านค้าของที่ระลึก ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่ที่ที่ทำให้เหมือนถูกมนต์สะกด


Lagoa do Fogo

เที่ยวชมเมืองหลวงกันแล้ว ก็ต้องออกไปสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ทางธรรมชาติกันบ้าง ที่แรกที่ไม่ควรพลาด คือ ทะเลสาบ ลาโกเออ ดู โฟกู (Lagoa do Fogo) ที่มีความหมายว่า Fire Lake ตามลักษณะของทะเลสาบที่เป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟมีความสูงถึง 575 เมตร ซึ่งสูงที่สุดในเซา มีเกลภูมิทัศน์โดยรวมเป็นเนินเขาสูงต่ำสลับไปมา ซึ่งงดงามด้วยสีเขียวของผืนป่าและสีฟ้าครามของน้ำในทะเลสาบ ยิ่งถ้าได้มาในช่วงเดือน ก.ย. จะได้เห็นดอกไม้นานาพันธุ์ชูช่อขึ้นมา อวดสีสันหลากสี เพิ่มความงดงามให้ที่แห่งนี้ยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกใจว่าทำไมที่นี่จึงเป็นจุดสวยสะกดใจมากที่สุดบนเซา มีเกล นอกจากชมวิวทะเลสาบในมุมสูงแล้ว ยังสามารถเดินไปชมทะเลสาบอย่างใกล้ชิดได้ที่ด้านล่าง โดยใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที แต่ขาขึ้นต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก 15-20 นาที สำหรับคนที่ไม่ถนัดเดินขึ้นเขา แม้จะใช้เวลาใช้แรงพลังในการเดิน แต่เมื่อได้นั่งชมทะเลสาบที่สวยงาม สงบ สุขใจ ได้กลิ่นของดอกไม้ป่า ได้ยินเสียงสายลม อารมณ์ที่เหนื่อยก็แปรเปลี่ยนเป็นความสุขและอยากหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้จริงๆ

file

Sete Cidades

ไม่มีใครที่เดินทางมาถึงเซา มีเกล แล้วจะไม่มาเยือน เซเต ซิดาเดส (Sete Cidades) ทะเลสาบที่งดงามชวนตื่นตาตื่นใจชนิดที่สะกดสายตาทุกคู่ได้ในแรกเห็น เซเต ซิดาเดส เป็นชื่อเรียกของทะเลสาบสองแห่งที่อยู่ติดกัน แห่งแรกคือ เวร์ดิ (Verde) มีขนาดเล็กกว่าและน้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียว ส่วนอีกแห่งคือ อาซูล (Azul) มีขนาดใหญ่กว่าและน้ำเป็นสีฟ้า ความแปลกนี้มีตำนานเล่าขานกันมาว่า น้ำในทะเลสาบนี้เป็นน้ำตาของเจ้าหญิงที่มีดวงเนตรสีเขียว และน้ำตาของหนุ่มเลี้ยงแกะที่มีดวงตาสีฟ้า ทั้งคู่รักกันแต่ไม่สมหวังจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาท่วมท้น ซึ่งความจริงแล้วทะเลสาบทั้งสองนี้เป็นผืนน้ำหนึ่งเดียวกัน มีสะพานเป็นเส้นขีดคั่น ผืนน้ำนั้นก็เป็นสีเดียวกัน แต่เพราะแสงสะท้อนจากสิ่งรอบข้าง ทำให้น้ำในทะเลสาบปรากฏเป็นสีต่างกัน สำหรับจุดชมวิวที่ดีที่สุดอยู่ที่ วิสต้า ดู เฮ (Vista do Rei) เป็นจุดชมวิวที่สามารถชื่นชมทัศนียภาพของสองทะเลสาบได้แบบกระจ่างตา ไม่ไกลจาก เซเต ซิดาเดสมีโรงแรมน่าพักชื่อ Sensi Azores Nature and Spa ซึ่งมีห้องพักบรรยากาศอบอุ่นชวนผ่อนคลาย ทั้งยังมีสปาและสระว่ายน้ำในร่มให้คุณได้พักชาร์จพลังก่อนออกเดินทางต่อ

file

Lagoa de Santiago

ไม่ไกลกันนักจากทะเลสาบสองสี คือ ลาโกเออ ดิ ซันติอาโก (Lagoa de Santiago) ทะเลสาบสีเขียว ซึ่งอยู่ถัดจาก เลค เวร์ดิ (Lake Verde) ของเซเต ซิดาเดส จุดนี้อยู่สูง 344 เมตรเหนือน้ำทะเล ที่เรียกกันว่าเป็นทะเลสาบสีเขียว เพราะนอกจากน้ำในทะเลสาบจะมีสีเขียวใสแล้ว เหนือแอ่งทะเลสาบนั้นยังล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้อันเขียวขจี โดยจุดที่เหมาะแก่การชมวิวมากที่สุดอยู่ที่ มิราโดรุ ลาโกเออ ดูกานาเรียว (Miradouro Lago do Canario) ซึ่งมีทางเดินให้เราสามารถไปชมวิวของ ลาโกเออ ดิ ซันติอาโก และบางส่วนของ เซเต ซิดาเดสได้พร้อมกัน

file

Caldeira Velha

เกาเดรา เวเลา (Coldeira Velha) เป็นอุทยานธรรมชาติ ที่มีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นสูงเสียดฟ้าคนท้องถิ่นและคนโปรตุเกสนิยมเดินทางมาเพื่อแช่ตัวในน้ำพุร้อนธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ 2 บ่อ ทั้งสองเป็นบ่อหินขนาดใหญ่ มีต้นไม้เขียวชอุ่มรายรอบ และมีน้ำตกธรรมชาติให้ได้ลงไปแช่กัน หรือจะเดินชมความสวยงาม ร่มรื่น น่าค้นหาของผืนป่าที่เหมือนป่าดงดิบในภาพยนตร์ก็ทำได้เช่นกัน แต่หากจะทั้งแช่ตัวและเดินป่า ต้องวางแผนเผื่อเวลาให้ดี เพราะต้องใช้เวลาชั่วโมงกว่า ห่างออกไปไม่ไกลนัก ยังมี ฟูนาส (Furnas) เมืองเล็กๆ ท่ามกลางแอ่งภูเขาไฟที่ซ่อนตัวอยู่บน เซา มีเกลให้ได้แวะทานมื้อกลางวัน กับเมนูเลื่องชื่อ Furnas Stew หรือคนที่นั่นเรียกว่า Cozido เป็นสตูว์ที่มีทั้งเนื้อลูกวัว หมู ไก่ และผัก ซึ่งปรุงให้สุกด้วยวิธีท้องถิ่น คือ การนำหม้อไปไว้ใต้ดิน แล้วใช้ความร้อนจากภูเขาไฟตุ๋นให้สุกอย่างช้าๆ โดยใช้เวลา 7- 8 ชม. ถ้าใครอยากมากินต้องจองล่วงหน้า 1-2 วัน

file

Terra Nostra Botanicle Park

อิ่มหนำกับมื้อกลางวันที่ฟูนาสกันแล้ว ก็อย่าพลาดที่ไปจะเดินย่อยอาหารพร้อมชมสวนสวยกันต่อที่เทอรา นอสตรา โบทานิเคิล ปาร์ค (TerraNostra Botanicle Park) สวนพฤกษศาสตร์ที่มีความโรแมนติกและน่าทึ่งผสมกันไป ที่นี่มี พันธุ์ไม้มากกว่า 2,000 ชนิดจากทั่วโลก (รวมถึงพันธุ์ไม้จากเมืองไทยด้วย) ไม้บางพันธุ์มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 โดยจุดขายที่สร้างชื่อของสวนแห่งนี้ คือ สระว่ายน้ำขนาดยักษ์ที่อุ่นร้อนแบบวารีบำบัดช่วยฟื้นพลังให้แก่ร่างกายเพราะอุดมด้วยแร่ธาตุ กำมะถัน และน้ำโคลน ซึ่งได้มาจากภูเขาไฟที่ระเบิดเมื่อในอดีต หากใครมีเวลาพอ แนะนำให้นอนพักค้างคืนที่โรงแรมชื่อเดียวกันนี้สักหนึ่งคืน แล้วตื่นแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อเดินเท้าเปล่าไปสัมผัสผืนหญ้า นอนลอยตัวแช่ในสระน้ำร้อน และดูท้องฟ้าเปลี่ยนสีเหนือภูเขางดงามราวกับภาพวาด

file

Islet Vila Franco Campo

หากยังมีเวลาพออีกสักวัน ลองจัดทริปสั้นๆ ไป อิสเล วีลา ฟรังกุ กันปู (Islet Vila Franco Campo) ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งของเกาะเซา มีเกลไปแค่ 1 กิโลเมตร ทะเลสาบแห่งนี้จัดเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ มีรูปทรงกลมที่มีส่วนที่เชื่อมต่อกับทะเล แม้จะมีชายหาดที่สั้นแต่ก็สวยงามมาก ด้วยหาดทรายขาว น้ำใสสะอาด เหมาะแก่การว่ายน้ำและดำน้ำเป็นอย่างยิ่ง ที่นี่เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง หลังจากใช้เป็นสถานที่จัดงาน Red Bull Diving World Championship หรือจะล่องเรือไปดูวาฬและโลมา ก็เพลิดเพลินไปอีกแบบ เพราะบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกย่านนี้มีวาฬและโลมาให้ได้ชมมากถึง 25 สายพันธุ์แต่ถ้าแค่อยากอำลา เซา มีเกล อย่างเรียบง่าย ให้ไปที่ มิราโดรุ ดิ ซานต้า อิเรีย(Miradouro de Santa Iria) จุดชมวิวทางทิศเหนือของเกาะ ให้มาในยามเย็นดูตะวันและฟ้าเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกค่อยๆเปลี่ยนสี ซึบซับความสงัด สงบ สวยงามที่ธรรมชาติเติมเต็มให้แก่เรา...เท่านั้นพอ

file

TRAVEL’S Guide

การเดินทาง: มีเที่ยวบินตรงจาก ลิสบอน และ ปอร์ตู ไปยัง เซา มีเกล ใช้เวลาราว 2 ชม. สำหรับการเดินทางบนเกาะ มีรถบัส  รถแท็กซี่ และรถให้เช่าขับเอง ส่วนการเดินทางไปเที่ยวยังเกาะอื่นๆ ใกล้ๆ จะมีเรือเฟอร์รี่ให้บริการ หรือจะเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน โดยสายการบินท้องถิ่น Sata Air Azores ก็จะสะดวกกว่า

สภาพอากาศ: อากาศของที่นี่ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป โดยอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาวเฉลี่ย 11-18 องศา ช่วงฤดูร้อนราว 25-26 องศา สามารถเที่ยวได้ทุกเดือน หากชอบดูสีสันของดอกไม้เบ่งบานทั่วทั้งเกาะ โดยเฉพาะดอกไฮเดรนเยียที่เรียงรายอยู่สองฟากฝั่งถนน ต้องมาช่วงฤดูร้อน (ส.ค.-ก.ย.) ส่วนใครที่ชอบทัศนียภาพของทุ่งหญ้าสีน้ำตาล ให้มาช่วงฤดูหนาว (พ.ย. - ก.พ.) แต่ถ้าอยากมาดูวาฬ ช่วงเวลาที่เหมาะ คือ เม.ย. - ก.ย.