4 สุดยอดแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 60 | คอลัมน์ Going Away

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism หนึ่งในเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากการที่ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น และจากงานวิจัยสถานการณ์และแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒพบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก และอันดับที่ 5 ของเอเชีย เพราะพรั่งพร้อมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำพุร้อน น้ำตกร้อน และบ่อโคลนสปา เป็นต้น ที่ล้วนตอบโจทย์การพักผ่อนเพื่อเสริมสร้างสุขภาพใจที่ดีและสุขภาพกายที่แข็งแรง TRUST ฉบับนี้จึงจะพาไปเยือน 4 สุดยอดแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่จะช่วยบำบัดร่างกายและจิตใจของคุณท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม

file

มนต์เสน่ห์น้ำพุร้อนล้านนา แจ้ซ้อน ลำปาง

บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง ดินแดนแห่งขุนเขาป่าไม้เขียว ที่ไปเยือนเมื่อใดก็จะให้ความรู้สึกประทับใจมิรู้ลืม เพราะตัวบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีถึง 9 บ่อนั้น ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ซึ่งรายล้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธรรมชาติและทัศนียภาพอันสวยงาม โดยหนึ่งในความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ก็คือการเป็นกลุ่มของบ่อน้ำแร่ร้อนขนาดใหญ่ ที่มีก้อนหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายเรียงรายอยู่ ราวกับว่ามีใครมาบรรจงจัดแต่งไว้ ทว่าความจริงนี่คือประติมากรรมชั้นเอกจากธรรมชาติล้วนๆยิ่งกว่านั้น หากได้ไปเที่ยวยามเช้าตรู่ ที่แสงอาทิตย์เพิ่งส่องลงมาอาบบ่อน้ำพุร้อน ก็จะเกิดภาพลำแสงสีเหลืองทองกระทบหมอกควันไอร้อนที่ลอยขึ้นในอากาศ สวยงามจับใจเหมือนดินแดนในฝันไม่มีผิด

โดยน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน เกิดจากน้ำบนผิวดินที่ไหลซึมผ่านรอยแตกของระหว่างชั้นหินลงไปใต้ดิน ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้กับรอยเลื่อนแม่ทา ทำให้ใต้ดินมีอุณหภูมิสูงถึง 149 องศาเซลเซียส และดันน้ำกลับขึ้นมาสู่ผิวดินเบื้องบนอีกครั้ง จนเกิดเป็นแอ่งน้ำแร่ร้อนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 39 - 42 องศาเซลเซียส และจุดที่ร้อนที่สุดคือ 73 องศาเซลเซียส อีกทั้งยังมีสาหร่ายชนิดพิเศษที่ทนทานต่อความร้อน ที่เรียกว่า Thermophilic Algae ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นกลุ่มแรกๆ ของโลกด้วย ส่วนการลงอาบแช่เพื่อสุขภาพ ควรไล่ระดับจากบ่อที่ร้อนน้อยๆ ไปยังบ่อที่มีความร้อนมาก โดยคุณสมบัติของแร่ธาตุในน้ำร้อนจากใต้ดิน จะช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส รักษาโรคผิวหนัง และบรรเทาโรคปวดข้อตามกระดูกได้ด้วย นอกจากนี้ ทางอุทยานฯ ยังมีการจัดสร้างห้องอาบน้ำแร่ไว้ให้บริการเพิ่มเติมหลากหลายแบบ ทั้งห้องแช่ส่วนตัวที่มีถึง 41 ห้อง ห้องแช่รวม 1 ห้อง และสระน้ำแร่กลางแจ้งขนาดใหญ่

file

เมื่อแช่น้ำแร่ร้อนเสร็จแล้ว หากมีเวลาเหลือ และอยากสัมผัสธรรมชาติให้ใกล้ชิดมากขึ้น ก็สามารถเดินเลียบผาไปประมาณ 1 กม. เพื่อชื่นชมน้ำตกแจ้ซ้อน น้ำตกกลางป่า 6 ชั้น ที่มีสายน้ำไหลยาวลงมาท่ามกลางพงไพร หรือจะไปทำกิจกรรมต้มไข่ยอดฮิต ที่มักเรียกกันว่า ไข่ออนเซนหรือไข่น้ำแร่ ก็ได้เช่นกัน แค่เพียงนำไข่ไก่หรือไข่นกกระทาใส่ตะกร้าสานเล็กๆ ลงไปแช่ในน้ำแร่ร้อนประมาณ 17 นาที ก็จะได้ไข่แดงสุกกำลังดีและไข่ขาวนุ่มๆ ละลายในปาก นอกจากนี้ ไข่น้ำแร่ของที่นี่ยังถูกนำไปสร้างสรรค์เป็นเมนูเด็ดอย่าง “ยำไข่น้ำแร่แจ้ซ้อน” ทีคิดค้นโดยหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี ยอดนักชิมชื่อก้องของไทย จนกลายเป็นเมนูเอกลักษณ์อันเลื่องชื่อของแจ้ซ้อน

file

ในส่วนของการเดินทางมายังน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน หากเดินทางจากตัวเมืองลำปาง ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1035 ลำปาง-วังเหนือ ขับไปประมาณ 58 กม. ก็จะผ่าน อ.แจ้ห่ม ให้เลี้ยวซ้ายที่สามแยกบ้านปงคอบ ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1287 แจ้ห่ม-เมืองปาน อีกประมาณ 6 กม. แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนสาย 1252 ข่วงกอม-ปางแฟน อีก 11 กม. จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าตามทาง รพช. อีกประมาณ 3 กม. ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

โคลนสปาธรรมชาติระดับโลก ภูโคลน แม่ฮ่องสอน

หากอยากอาบแช่หรือพอกโคลนสปาจากธรรมชาติระดับโลก ไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ เพราะไทยก็มีแหล่งโคลนสปาระดับโลกเช่นกัน นั่นคือ “ภูโคลน” จ.แม่ฮ่องสอน ที่ได้รับการกล่าวขวัญในระดับ Spa Paradise ให้เป็น 1 ใน 50 สุดยอดสปาของประเทศไทย และถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand เพราะเป็นแหล่งโคลนสปาพิเศษหายาก ติด 1 ใน 3 ของโลก ส่วนอีก 2 แห่ง คือ ทะเลสาบเดดซี  (Dead Sea) ประเทศอิสราเอลและจอร์แดน และโคลนลาวาภูเขาไฟ ประเทศโรมาเนีย 

ภูโคลน เป็นแหล่งน้ำแร่และโคลนธรรมชาติที่เกิดจากสายน้ำแร่ใต้พื้นพิภพ มีอุณหภูมิตั้งแต่ 60 - 140 องศาเซลเซียส โดยมีลักษณะเป็นโคลนเดือดบริสุทธิ์สีดำ ซึ่งได้รับการค้นพบเมื่อปี 2538 โดยนักธรณีวิทยากลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาสำรวจและพบเจอกับสายน้ำร้อนที่ผุดขึ้นกลางทุ่งนา ประกอบกับการได้รับการบอกเล่าจากชาวบ้านว่า คนที่นี่มักจะมาอาบแช่กัน เพราะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้เป็นอย่างดี นักธรณีวิทยาจึงเก็บตัวอย่างไปตรวจสอบ พบว่าเป็นโคลนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลากชนิด อาทิ แมกนีเซียม ที่ช่วยสร้างและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ โซเดียม ที่ช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิวให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แคลเซียม ที่ช่วยปรับความสมดุลของผิวไม่ให้แห้งกร้าน และโปรแตสเซียม ที่ช่วยบำรุงและควบคุมความชุ่มชื้นของเซลล์ผิว ฯลฯ ซึ่งเทียบเท่ากับโคลนสุขภาพระดับโลกอย่างทะเลสาบเดดซี และโคลนจากลาวาภูเขาไฟที่โรมาเนีย อีกทั้งยังมีกลิ่นกำมะถันเบาบาง ต่างจากโป่งน้ำร้อนหรือบ่อโคลนทั่วไปที่มักจะมีกลิ่นกำมะถันแรงมาก จึงทำให้เกิดการพัฒนาเป็น ภูโคลน คันทรี คลับ แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงามขึ้น 

file
file

เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว กิจกรรมที่ห้ามพลาดก็คือ การแช่เท้าและแช่ตัวในบ่อน้ำร้อน รวมไปถึงการพอกหน้าด้วยโคลนธรรมชาติ ที่รับรองได้ว่าหลังจากล้างออกแล้ว ผิวพรรณจะแลดูผ่องใสขึ้น เพราะโคลนจะช่วยดูดของเสียออกจากร่างกาย พร้อมฟื้นบำรุงดูแลผิวและช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นด้วย หรือจะมานวดแผนไทย นวดน้ำมัน ที่นี่ก็มีเช่นกัน นอกจาก ภูโคลน คันทรี คลับ จะโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของโคลนจากธรรมชาติที่มีคุณภาพชั้นเลิศแล้ว อีกหนึ่งเสน่ห์ก็คือ การนำสมุนไพรไทยที่ขึ้นชื่อในเรื่องกลิ่นและสรรพคุณมาผสมผสาน เพื่อส่งเสริมเกษตรกรใน จ.แม่ฮ่องสอนและเพิ่มคุณค่าให้กับโคลนมากยิ่งขึ้น อาทิ กลิ่นหอมของตะไคร้ภูเขาที่ช่วยเสริมบรรยากาศของความเป็นสปา น้ำมันสกัดจากงาที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากโคลนและน้ำแร่ธรรมชาติ ที่ใช้เทคโนโลยี Microensapulation จึงทำให้แร่ธาตุในโคลนสามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวพรรณได้ดีกว่าโคลนของทะเลเดดซีถึง 10 เท่า จนได้รับรางวัลสินค้าโอทอป 5 ดาว ให้เลือกซื้อเป็นของที่ระลึกกลับบ้าน เท่านั้นยังไม่พอ เพราะวิวรอบๆ บ่อโคลนก็สวยงาม จนต้องเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันแน่นอน เพราะมีทั้งเนินเขา ทิวไม้เขียวๆ และสวนสวยที่ตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ใบไว้เป็นอย่างดี ส่วนการเดินทางนั้น หากมาจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ให้ใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 1095 แม่ฮ่องสอน-ปาย ระยะทางประมาณ 10 กม. จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหมู่บ้าน กุงไม้สัก-บ้านห้วยขาน ไปอีกราวๆ 4 กม. ก็จะพบ ภูโคลน ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ

 

แช่ออนเซนธรรมชาติ น้ำพุร้อนหินดาด กาญจนบุรี

ภาคกลางก็ไม่น้อยหน้า มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเชิงสุขภาพที่น่าสนใจซ่อนตัวอยู่ในเขตป่าตะวันตกอันอุดมสมบูรณ์ของ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เช่นกัน นั่นก็คือ น้ำพุร้อนหินดาด หรือ น้ำพุร้อนกุยมั่ง ซึ่งได้รับการค้นพบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทหารญี่ปุ่น ที่เข้ามาสร้างทางรถไฟสายมรณะและพบเข้าโดยบังเอิญ จึงได้สร้างบ่อซีเมนต์ไว้สำหรับลงอาบแช่ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า เสมือนออนเซนธรรมชาติที่ชาวอาทิตย์อุทัยนิยมไปอาบแช่เพื่อสุขภาพกันอยู่เป็นประจำ ต่อมาภายหลังได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ งดงามและโดดเด่นด้วยสายน้ำแร่ร้อนบริสุทธิ์สีเขียวมรกตที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติโอบกอด

file

น้ำพุร้อนหินดาด เป็นบ่อน้ำแร่ร้อนธรรมชาติจากใต้พิภพ ที่ผุดขึ้นมาเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยเสน่ห์ของน้ำพุร้อนแห่งนี้ นอกจากการได้แช่น้ำที่อุณหภูมิประมาณ 45 - 55 องศาเซลเซียส ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยรักษาและบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บบางอย่าง เช่น โรคเหน็บชา โรคไขข้ออักเสบ และโรคผิวหนังบางชนิดได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังจะได้อยู่ท่ามกลางความสงบและความเป็นธรรมชาติของผืนป่าโดยรอบ ที่มีทั้งสรรพสำเนียงของพงไพร ดังแว่วมาเยียวยาหัวใจอีกด้วย ปัจจุบันน้ำพุร้อนหินดาดมีด้วยกัน 3 บ่อ ซึ่งแต่ละบ่อจะมีอุณภูมิที่แตกต่างกัน คือบ่อที่ร้อนมาก

ร้อนปานกลาง และร้อนน้อย อีกทั้งยังมีบ่อเล็กๆ สำหรับเด็กๆ ด้วย โดยการแช่นั้นควรแช่ให้ครบทั้ง 3 บ่อ บ่อละประมาณ 10 - 15 นาที และควรเริ่มจากบ่อที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุดก่อน ส่วนการลงไปแช่นั้น ให้เริ่มด้วยการแช่เท้า เพื่อค่อยๆ ปรับอุณหภูมิ แล้วค่อยๆ ขยับระดับลงไปแช่ทั้งตัว จากนั้นปิดท้ายด้วยการแช่ในสระธารน้ำเย็นธรรมชาติ ซึ่งอยู่ถัดจากบ่อน้ำพุร้อนไปไม่ไกลนัก เพื่อปิดรูขุมขนและเพิ่มความสดชื่นตลอดทั้งวัน

นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบยังมีมุมสะพานสวยๆ ให้ได้ถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน รวมถึงยังมีร้านค้าให้ได้ซื้อของฝาก และร้านอาหารไว้ให้นั่งละเลียดชิมเมนูอร่อยๆ พร้อมกับชมแมกไม้สีเขียวอีกด้วย ส่วนการเดินทางนั้นก็ไม่ยุ่งยาก จากถนนสายหลักตัวเมืองกาญจนบุรี ถึงสี่แยกแก่งเสี้ยน ให้เลี้ยวซ้ายไปทาง หมายเลข 323 อ.ไทรโยค-ทองผาภูมิ ซึ่งจะผ่านน้ำตกไทรโยคน้อย น้ำตกไทรโยคใหญ่ จนถึงช่วง กม. 180 ให้เลี้ยวขวา ก็จะถึงน้ำพุร้อนหินดาด ซึ่งภายในมีที่จอดรถสะดวกสบาย

สายนทีกลางธรรมชาติจากใต้พิภพ น้ำตกร้อน กระบี่

ล่องใต้ไปเยือนดินแดนสวรรค์แห่งอันดามัน จ.กระบี่ ที่ไม่ได้มีดีแค่หมู่เกาะและหาดทรายสวยเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริงแล้วยังมีความเป็นเลิศและเพียบพร้อมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากมายเช่นกัน โดยเฉพาะ อ.คลองท่อม ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น  “เมืองสปาน้ำพุร้อน (Spa Town)” แห่งเมืองไทย ด้วยพื้นที่ที่ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนของเปลือกโลก จึงทำให้เกิดน้ำพุร้อนธรรมชาติขึ้นหลายแห่ง ทั้งน้ำพุร้อน น้ำพุเย็น และน้ำพุร้อนเค็ม กระจายอยู่ทั่วทั้งอำเภอ รวมถึงหาดโคลนร้อนด้วย ซึ่งแหล่งน้ำพุสำคัญที่ชาวคลองท่อมยกให้เป็น “Big 3” ได้แก่ สระมรกต น้ำตกร้อน และน้ำพุร้อนเค็ม 

โดยหนึ่งใน Big 3 อันเลื่องชื่อและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดอันซีน ก็คือ น้ำตกร้อนคลองท่อม หรือ น้ำตกร้อนสะพานยูง ซึ่งเป็นน้ำตกร้อนเพียงแห่งเดียวของประเทศไทยที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี น้ำตกแห่งนี้ได้ก่อกำเนิดขึ้นจากสายน้ำแร่ร้อนที่ผุดขึ้นกลางป่าดงดิบ และไหลรวมเป็นลำธารน้ำอุ่นตามธรรมชาติ จากนั้นไหลผ่านโขดหินลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ จนเกิดเป็นน้ำตกร้อนขนาดเล็กๆ ที่มีความสูง 5 ม. และความกว้าง 10 ม. และมีอุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 45 องศาเซลเซียส ซึ่งภายในน้ำยังมีสารกำมะถันเจือจางและแร่ธาตุต่างๆ มากมายที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งยังเชื่อกันว่าจะสามารถบำบัดอาการไขข้ออักเสบ ปวดเมื่อย และโรคเกี่ยวกับผิวหนังให้ดีขึ้นได้ด้วย แต่ในการอาบแช่แต่ละครั้งไม่ควรนานเกิน 15 - 20 นาที เพราะอาจทำให้หน้ามืดเป็นลมได้ หากอยากแช่ต่อ ควรสลับขึ้นมานั่งพัก ดื่มน้ำธรรมดาที่ไม่แช่เย็นก่อน ส่วนการเดินทางมาที่นี่ หากมาจากตัวเมืองกระบี่ ให้ใช้ถนนสายกระบี่-ตรัง ระยะทางประมาณ 45 กม. เมื่อถึงสี่แยกตลาดคลองท่อม ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง 4038 จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุขาภิบาล 2 ตรงเทศบาลคลองท่อมไปอีกประมาณ 12 กม. ก็จะถึง ซึ่งจากที่จอดรถต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 400 ม. 

และหากใครต้องการแช่ตัวผ่อนคลายแบบส่วนตัวท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ไกลจากน้ำตกร้อน ก็มี วารีรัก ฮ็อต สปริง แอนด์ เวลเนส (Wareerak Hot Spring & Wellness) รีสอร์ทเพื่อสุขภาพและสปาครบวงจรให้เลือกใช้บริการ ซึ่งโดดเด่นด้วยห้องพักจำนวนไม่มากที่ซ่อนตัวอยู่ในแมกไม้สวนสวย พร้อมกับมีบ่อน้ำพุร้อนที่ชื่อว่า สระอโนดาษแห่งป่าหิมพานต์ ที่สร้างขึ้นเป็นบ่อน้อยใหญ่เชื่อมต่อกันด้วยรูปทรงอิสระ พร้อมรายล้อมด้วยธรรมชาติอันร่มรื่น โดยน้ำแร่ในบ่อนั้นส่งตรงมาจากแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 43 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถลงแช่ได้ทันทีและเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการทำวารีบำบัด นอกจากนี้ ยังมีคุณหมอคอยตรวจเช็กความพร้อมของสุขภาพร่างกายและนักบำบัดคอยแนะนำท่าออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายให้ก่อนที่จะลงแช่ในน้ำแร่ร้อน อย่างท่ากินนรี ที่ต้องย่อเข่า กางแขน เพื่อช่วยให้ร่างกายได้ขยับอย่างเป็นจังหวะอีกด้วยหากทริปท่องเที่ยวครั้งต่อไปยังไม่รู้จะปักหมุดไปที่ไหน ลองเลือกสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่จะช่วยผ่อนคลาย พร้อมบำบัดกายและใจไปในคราวเดียวกัน ก็น่าจะตอบโจทย์การท่องเที่ยวในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี

file
file

Contact & More Info

•  ภูโคลน คันทรีคลับ ต.หมอกจำแป่ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน โทร. 0 5328 2579

•  อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง วันธรรมดาเปิด 08.00 - 17.00 น. วันหยุดสุดสัปดาห์ เปิด 08.00 - 19.00 น. โทร. 0 89851 3355

•  น้ำพุร้อนหินดาด ต.หินดาด อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เปิด 06.00 - 22.00 น.  โทร. 0 3451 0333

•  น้ำตกร้อน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เปิด 08.30 - 18.00 น. โทร. 0 7566 0781

•  วารีรัก ฮ็อต สปริง แอนด์ เวลเนส อ.คลองท่อม จ.กระบี่ โทร. 0 7563 7130