Best of the S-L-O-W Destinations 2022 AND BEYOND
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 60 | คอลัมน์ Horizon
พบกับการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่จะทำให้คุณได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและได้เปิดประสบการณ์ที่สุดยอดไปพร้อมๆ กัน กับ S-L-O-W Destinations ที่เป็นมากกว่าการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า แต่เป็นการท่องเที่ยวที่โดดเด่นไปด้วยความยั่งยืน (Sustainability) เรื่องราวในท้องถิ่น (Local) อาหารออร์แกนิก (Organic) และการเอื้อให้เกิดสุขภาพที่ดี (Wellness) ที่จะทำให้คุณใช้ชีวิต กิน อยู่ เป็น แบบคนท้องถิ่นได้สนุกอย่างเต็มอิ่ม แต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และนี่คือจุดหมายปลายทาง 3 แห่งที่ขอยกให้เป็นที่ที่น่าไปเยือนประจำปี 2022 (และในปีถัดๆ ไป)
Colombia River Gorge, Oregon/Washington Wine and Dine in the US Beautiful Largest Scenic Area
หากอยากรู้ว่าพื้นที่จุดชมวิวที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา หน้าตาเป็นอย่างไร ต้องไปเยือนสถานที่ชมวิวแห่งชาติที่ได้รับการประกาศจากสภาคองเกรสในปี 1986 นั่นก็คือ โคลอมเบีย ริเวอร์ กอร์จ (Colombia River Gorge)
โคลอมเบีย ริเวอร์ กอร์จ หรือหุบเขาแม่น้ำโคลอมเบีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกา ซึ่งกินอาณาเขตทั้งพรมแดนของรัฐโอเรกอนและวอชิงตัน รวมแล้วกว่า 740,000 ไร่ ทั้งในส่วนที่ดินสาธารณะและส่วนบุคคล โดยเป็นหุบเขาที่มีความลึกกว่า 4,000 ฟุต มีแม่น้ำลำธารไหลเวียนอยู่โดยรอบ และมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ร่มรื่น อีกทั้งยังอยู่ใกล้ๆ เมาท์ ฮูด (Mount Hood) ภูเขาไฟกรวยสลับชั้นที่สูงที่สุดในโอเรกอน และถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 7 สถานที่มหัศจรรย์ของโอเรกอน ซึ่งในแต่ละปีทั้งสองสถานที่นี้ได้ดึงดูดนักเดินทางมามากกว่า 2 ล้านคน ทำให้กลุ่มสมาคมที่ไม่แสวงหาผลกำไรได้ร่วมมือกัน เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เกิดจากนักท่องเที่ยว ด้วยการสร้างโมเดลสำหรับการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนขึ้น โดยนำเสนอกิจกรรมที่เน้นการขี่จักรยาน เดินเท้า ปีนเขา และการชิมอาหารท้องถิ่น ส่วนสมาคมการท่องเที่ยวโคลอมเบีย จอร์จ ได้เข้ามาช่วยสร้างเครือข่ายของกลุ่มผู้ทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์ โรงแรม โรงบ่มไวน์ และบริษัทผู้ให้บริการประสบการณ์แบบท้องถิ่น เพื่อริเริ่มและออกแบบโปรแกรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เน้นให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน อาทิ แบรนด์ไวน์ MountNbarrel ที่มีการจัดโปรแกรมทัวร์ท่องเที่ยวไร่องุ่น ชิมไวน์ ด้วยการเดินหรือปั่นจักรยาน เพื่อเปิดประสบการณ์ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ร้านอาหารและฟาร์มออร์แกนิกที่รายล้อมไปด้วยทัศนียภาพทางธรรมชาติอันสวยงาม ซึ่งสามารถเลือกจับคู่ไวน์ท้องถิ่นกับอาหารจานหลักได้ตามต้องการ และ Solstice Wood Fire Cafe & Bar ร้านที่มีพิซซ่าเตาฟืนแบบอิตาเลียน ปรุงด้วยวัตถุดิบสดใหม่ของท้องถิ่น อีกทั้งทางร้านยังได้ร่วมกับ Gorge Grown Food Network องค์กรท้องถิ่นที่มีจุดมุ่งหมายในการขจัดความหิวโหยและส่งเสริมการกินอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารที่เน้นความยั่งยืนในท้องถิ่นโดยเฉพาะ
การได้มาเยือน โคลอมเบีย ริเวอร์ กอร์จ นั้นคุ้มค่าจริงๆ เพราะที่นี่ยังมีความสวยงามที่ซุกซ่อนรอให้คุณไปค้นหาอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเที่ยวชมดอกไม้ป่าที่โรเวนา เครสต์ (Rowena Crest) การไฮกิ้งเพื่อไปชมวิวบนด๊อก เมาน์เทน (Dog Mountain) การปั่นจักรยานไปตามทางภูเขาโพสต์ แคนยอน (Post Canyon) หรือหากใครที่ชอบการเล่นกีฬาทางน้ำ ต้องไม่พลาดไปที่ฮูด ริเวอร์ (Hood River) ที่ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองหลวงด้านวินด์เซิร์ฟของโลก หรือจะไปชมวิวจากจุดคราวน์ พอยต์ (Crown Point) ปลายฝั่งตะวันตกของหุบเขา สามารถชมทัศนียภาพได้ไกลถึงภูเขาแคสเคด (Cascade) ซึ่งมีน้ำตกหลายสายพรั่งพรูผ่านหน้าผาหินบะซอลท์
นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกเล็กใหญ่กว่า 70 แห่ง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์แห่งน้ำตก โดยน้ำตกอันโด่งดัง คือ น้ำตกมัลโนมาห์ (Multnomah Falls) ที่มีความสูงประมาณ 190 ม. และมีทั้งหมด 2 ชั้น โดยชั้นบนมีจุดแลนด์มาร์ก คือ สะพานเบนซัน (The Benson Bridge) ที่มีฉากหลังเป็นน้ำตก ให้บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ ส่วนชั้นล่างมีไฮไลต์ คือ แอ่งน้ำขนาดเล็กรูปหัวใจ ที่เกิดจากน้ำชั้นบนไหลลงมารวมกันในแอ่งหินชั้นล่างจนเกิดเป็นความงดงามไม่แพ้กัน โดยสามารถมาเที่ยว โคลอมเบีย ริเวอร์ กอร์จ ได้ตลอดทั้งปี หากมาช่วงฤดูหนาวจะได้เห็นแพน้ำตกที่ครึ่งหนึ่งได้กลายเป็นน้ำแข็งซึ่งเป็นภาพที่สวยงามไปอีกแบบ แต่หากใครชอบดอกไม้ป่าให้มาเยือนช่วงปลายเดือน เม.ย. - มิ.ย.
จะว่าไปแล้วที่โคลอมเบีย ริเวอร์ กอร์จ ไม่ได้มีความยอดเยี่ยมแค่เรื่องวิวเท่านั้น ที่นี่ยังมีคราฟท์เบียร์รสเยี่ยมมากมาย และร้านอาหารแบบ Farm-fresh แสนอร่อยให้เลือกหลากหลาย และด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร คือมีทั้งป่าฝนและทะเลทราย จึงทำให้มีไวน์คุณภาพชั้นเลิศหลากชนิด ทั้งไวน์แดงจากองุ่นสายพันธุ์คลาสสิกอย่าง Pinot Noir และ ราชาแห่งไวน์ขาว Chardonnay จากฝั่งเขาตะวันออก ส่วนทางฝั่งเขาตะวันตกที่อากาศเย็นก็มี ไวน์แดงรสเข้มอย่าง Tempranillo และ Syrah อีกทั้งยังมีวัฒนธรรมอันรุ่มรวย เนื่องจากมีชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันกว่า 80 เผ่าอาศัยอยู่ ซึ่งสามารถย้อนไปดูความเก่าแก่ของเมืองได้ที่พิพิธภัณฑ์ Colombia Gorge Discovery Center & Museum
สำหรับที่พัก ขอแนะนำ Balch Hotel โรงแรมเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1907 และยังคงไว้ซึ่งความสวยงามแบบโลกสมัยก่อน ทำให้รู้สึกเสมือนได้ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ แต่หากอยากซึมซับงานศิลปะของที่นี่ ขอแนะนำ Art Bliss Hotel ที่พักกระท่อมสไตล์บูทีค ซึ่งมีเพียง 4 หลังเท่านั้น นอกจากจะเป็นส่วนตัวแล้ว ยังมีงานศิลปะของศิลปินท้องถิ่นให้ได้ชมมากมาย หรือใครอยากอิงแอบใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบสุดๆ ต้อง Skamania Lodge บ้านต้นไม้ที่อยู่ท่ามกลางป่าเขา แต่หากชอบความสงบและชอบอาหารออร์แกนิก ต้องไปพักที่ Sakura Ridge ที่พักสไตล์กระท่อมที่ผสมผสานความเป็นอเมริกันและญี่ปุ่นไว้ด้วยกันอย่างลงตัวท่ามกลางป่าสนและเทือกเขา ซึ่งมีเพียง 5 หลังเท่านั้น อีกทั้งยังมีฟาร์มออร์แกนิกให้ได้เยี่ยมชมและนำมาปรุงเป็นเมนูเพื่อสุขภาพพร้อมเสิร์ฟให้ผู้เข้าพักได้รับประทานแบบ Farm to Table ด้วย โดยทุกที่พักที่คัดสรรมานั้นต่างล้วนใกล้ชิดธรรมชาติ และมีโปรแกรมเวลเนสแอนด์สปาไว้รองรับให้ผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายกายและใจ เพื่อเสริมให้ทริปท่องเที่ยวนี้ มีความหมายมากยิ่งขึ้น
Palau A Top Diving Destination Pioneered a New Model of Sustainable Tourism
ปาเลาอาจจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางยอดนิยม ที่เอ่ยชื่อมาแล้วทุกคนต่างใฝ่ฝันอยากมาเยือนสักครั้งในชีวิต แต่ประเทศเล็กๆ ในหมู่เกาะนี้ คือมรดกแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก อันเป็นจุดหมายปลายทางในฝันและสรวงสวรรค์ของเหล่าบรรดานักดำน้ำอย่างแท้จริง
สาธารณรัฐปาเลา (Republic of Palau) หรือปาเลา เป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ได้รับเอกราชเมื่อปี 1994 โดยตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ ห่างออกไปประมาณ 500 กม. โดยมีเมืองเมเลเคอ็อก (Melekeok) เป็นเมืองหลวงของประเทศ และมีเมืองคอรอร์ (Koror) เป็นอีกเมืองใหญ่ เนื่องจากเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศมาก่อน ปาเลาถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดในโลก ประมาณ 20,000 กว่าคนเท่านั้น ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมงเป็นหลัก โดยการเดินทางมาท่องเที่ยวในปาเลานั้น
ไม่ได้มีแค่เพียงตราประทับวีซ่าที่จะทำให้คุณเดินทางท่องประเทศนี้ได้ แต่คุณยังต้องมีตราประทับ Palau Pledge ที่ถือเป็นถ้อยความปฏิญาณเหมือนบทกวี พร้อมลายเซ็นของคุณที่จะแสดงให้เห็นว่า คุณจะให้ความเคารพและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมของปาเลา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงความงดงามของธรรมชาติเฉกเช่นเดียวกัน
สิ่งที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกให้มาเยือนประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ ก็คือท้องทะเลสีฟ้าใสกระจ่าง หาดทรายขาว อากาศอันบริสุทธิ์ และทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ โดยบริเวณที่เป็นเหมือนสวรรค์ของนักดำน้ำ ก็คือ เดอะ ร็อค ไอแลนด์ (The Rock Islands) ที่เกิดจากกลุ่มของหินปูนหรือปะการังขนาดเล็กหลายร้อยชิ้นรวมตัวกันจนเกิดเป็นหมู่เกาะสีเขียวที่แปลกตา มีลักษณะคล้ายเห็ด ซึ่งปกคลุมไปด้วยใบไม้และหาดทรายสีขาวสว่างไสว จนยูเนสโกจัดให้เป็นแหล่งมรดกที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีจุดดำน้ำที่โด่งดังอีกมากมาย อาทิ บลู คอร์เนอร์ ( Blue Corner) บลู โฮล (Blue Holes) และ เจอร์แมน ชาแนล (German Channel) ที่คุณจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับสีสันอันสวยงามของปะการังและสัตว์โลกใต้ท้องทะเลหลากหลายสายพันธุ์ ส่วนจุดดำน้ำอีกแห่งที่ต้องไม่พลาด คือ หมู่เกาะเมเชอร์ชาร์ (Mecherchar Islands) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ เดอะ ร็อค ไอแลนด์ เพราะที่นี่มีทะเลสาบแมงกะพรุน (Jellyfish Lakes) อันเลื่องชื่อ ที่จะพาคุณตื่นตะลึงไปกับแมงกะพรุนสีทองนับล้านตัว แต่ไม่ต้องกลัว เพราะแมงกะพรุนที่นี่เป็นสายพันธุ์แบบไม่มีพิษ
อีกหนึ่งความน่าทึ่งของ เดอะ ร็อค ไอแลนด์ ไม่ได้อยู่แค่เพียงใต้น้ำ เพราะบนเกาะนั้นยังปกคลุมไปด้วยไม้ป่ายืนต้นมากมาย ทั้งๆ ที่บนเกาะไม่มีดินแม้แต่นิดเดียว ซึ่งต้นไม้เหล่านี้เติบโตได้ด้วยฮิวมัสจากต้นก่อนๆ ที่เคยมีชีวิตอยู่ ทำให้การล่องเรือตระเวนชมธรรมชาติอันสวยงามของเกาะแก่งต่างๆ จึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมโปรดของผู้มาเยือน อีกทั้งรอบๆ ปาเลานั้น ยังมีเกาะเล็กๆ ที่น่าไปเที่ยวชม อย่างเกาะอิโนกิ (Inoki Island) ที่โดดเด่นด้วยเวิ้งหาดทรายสีขาวสวยงามทอดยาวไปไกลในทะเลสีฟ้าคราม แต่หากอยากสัมผัสใกล้ชิดปลาโลมาต้องไปที่เกาะเงลักเท (Ngeruktabel) ส่วนจุดหมายปลายทางอีกแห่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ก็คือ มิลกี้ เวย์ (Milky Way) ซึ่งเป็นเหมือนทะเลน้ำนมสีฟ้า น้ำทะเลแห่งนี้มีแคลเซียมคาร์บอเนตที่สะสมกันมาเป็นล้านๆ ปี จนเกิดเป็นโคลนหินปูนสีขาว โดยเชื่อว่าหากนำมาพอกตัวจะช่วยทำให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลแล้ว ปาเลายังมีน้ำตกงาร์ดเมา (Ngardmau) ซึ่งอยู่บนเกาะบาเบลดาอ็อบ (Babeldaob) เป็นน้ำตกสูงใหญ่สวยงาม และมีแอ่งกว้างให้แหวกว่าย
ความที่เกาะแก่งแต่ละแห่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก การเดินทางไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ จึงสะดวกสบาย แต่ที่พักชั้นดีและบริษัททัวร์ชั้นนำส่วนใหญ่จะอยู่บนเกาะคอรอร์ (Koror) ซึ่งหากใครที่ชอบความสบายๆ แต่แฝงไปด้วยความหรูหรา ขอแนะนำ The Pristine Villas and Bungalows และ Palau Pacific Resort โดยทั้งสองที่นั้นอยู่ไม่ไกลจากสนามบินแห่งชาติและมีวิลล่าที่แค่เพียงเปิดประตูออกไปก็สัมผัสทะเลได้เลย แต่หากชอบสไตล์โมเดิร์น ขอแนะนำ Palau Sunrise Sea View Landison Retreat บนเกาะบาเบลดาอ็อบ
เพราะปาเลานั้นมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง นอกจากการไปชมการเต้นรำของชนพื้นถิ่นแล้ว สิ่งที่นักเดินทางไม่ควรพลาด ก็คือการไปลิ้มรสอาหารท้องถิ่นที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่ และปลอดสารเคมี ซึ่งรับรองได้ว่าต้องถูกใจคนที่รักสุขภาพอย่างแน่นอน และยิ่งได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์เช่นนี้ ก็ยิ่งจะช่วยเพิ่มอรรถรสให้ยิ่งอิ่มเอมขึ้นไปอีก
Grenoble, France The Green Capital of Europe
นอกจากปารีสแล้ว ฝรั่งเศสยังมีอีกหลากหลายเมืองที่ชวนให้หลงใหลและน่าไปเยือน หนึ่งในนั้นก็คือเมืองเกรอน็อบล์ (Grenoble) ที่ถูกยกให้เป็นเมืองหลวงสีเขียวของทวีปยุโรปประจำปี 2022
เกรอน็อบล์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส หากนั่งรถไฟจากปารีสจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. แต่หากมาจากเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ จะใช้เวลาแค่ 2 ชม. เท่านั้น สภาพภูมิประเทศของที่นี่เป็นเหมือนเมืองในหุบเขาที่มีพื้นที่บางส่วนอยู่บริเวณตีนเขาเฟรนช์แอลป์ (French Alps) จึงทำให้ฉากหลังของเมืองมีเทือกเขาแอลป์เป็นทัศนียภาพที่สวยงาม และถูกขนานนามให้เป็นเมืองหลวงของเทือกเขาแอลป์ (Capital of the Alps) นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำสองสายไหลผ่าน จึงเอื้อให้เกิดความสมดุลของสภาวะอากาศ โดยมีแม่น้ำอีแซร์ (Isere) เป็นแม่น้ำประจำเมือง
เดิมที เกรอน็อบล์เป็นเพียงแค่หมู่บ้านเล็กๆ ต่อมาในปี 1956 ได้พัฒนามาเป็นเมืองอุตสาหกรรมหนัก ปัจจุบันได้พัฒนาจนกลายเป็นเมืองใหญ่และเป็นศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญแห่งหนึ่งของยุโรป ซึ่งมีชื่อเสียงด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์และนิวเคลียร์ฟิสิกส์ เนื่องด้วยเกรอน็อบล์มีแนวคิดในการพัฒนาเมืองผ่านการวางรากฐานด้านการวิจัยและการศึกษา โดยประชากร 1 ใน 5 จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้านนวัตกรรม หรือการวิจัย หรือทำงานเกี่ยวข้องกับทางด้านนี้ อีกทั้งบริษัทที่ตั้งอยู่ในเมืองนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมและการจัดการพลังงาน
ถึงวันนี้เกรอน็อบล์ได้พัฒนาไปอีกขั้น ด้วยการประกาศเป็นเมืองที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังในทุกมิติ ทั้งการสร้างแผนงานการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน การออกแบบที่ช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุและความรุนแรง (Traffic Calming) ทั้งของคนเดินเท้าและผู้ใช้พาหนะ ด้วยการมีถนนคนเดินเท้าขนาดใหญ่จำนวนมาก การกำหนดความเร็วของยานพาหนะ การสร้างเลนจักรยานที่เชื่อมต่อถึงกัน และการมีระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการประกาศห้ามขึ้นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการปลูกพืชผักผลไม้ในพื้นที่สาธารณะ (Public Planting) เช่น ข้างทางเดิน ริมรั้ว สวนสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถเก็บไปทานได้ฟรีๆ อีกทั้งยังมีโครงการอาหารกลางวันที่ปรุงจากผลิตผลออร์แกนิก และการปลูกต้นไม้ในเมืองที่ตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2030 จะมีต้นไม้ใหม่เพิ่มขึ้น 15,000 ต้น ซึ่งว่ากันว่าการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงนี้ มาจากการผลักดันของนายกเทศมนตรีของเมืองจากพรรค Green Party ที่มีภูมิหลังเป็นวิศวกรและมีความใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเมืองไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และในปีนี้เกรอน็อบล์ก็ได้ตั้งเป้าไว้ว่า พลังงานที่ใช้ในครัวเรือนแต่ละหลังจะต้องเป็นพลังงานหมุนเวียน 100%
เกรอน็อบล์ ไม่ได้โดดเด่นแค่เพียงเรื่องของพลังงานสีเขียว เมืองสะอาด การเดินทางที่สะดวกสบาย และเทือกเขาอันน่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังมีวัฒนธรรมที่ลุ่มลึกและศิลปะระดับมาสเตอร์พีซอยู่หลายชิ้น ทั้งของ Monet, Canaletto และ Klee รวมถึงผลงานอาร์ตร่วมสมัยที่มีการจัดหมุนเวียนเปลี่ยนให้ได้ชมกันในพิพิธภัณฑ์เกรอน็อบล์ (Museum of Grenoble) แม้สถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่จะไม่หวือหวา แต่ก็แฝงไปด้วยความน่าสนใจมากมาย โดยหนึ่งในไฮไลต์ ก็คือ กระเช้าลอยฟ้าเกรอน็อบล์-บาสตีย์ (Grenoble-Bastille Cable Car) กระเช้าลอยฟ้าแห่งแรกของโลกที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเกรอน็อบล์ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวเมืองได้ในหลายมุมมอง พร้อมชมทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขาแอลป์และแม่น้ำอีแซร์ได้อย่างเต็มตา โดยจุดหมายปลายทางของกระเช้าแห่งนี้ก็คือ ชานเมืองและป้อมปราการบาสตีย์ ที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง โดยเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยยุคกลาง และสำหรับสายแอดเวนเจอร์ที่รักการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็มีกิจกรรมกระโดดหน้าผาหรือการเล่นร่มร่อน จุดที่เป็นที่นิยมคือ แซงต์ ฮิแยรต์ ดู ตูเวต์ (Saint-Hilaire du Touvet) ที่จะได้เห็นวิวภูเขาตระการตา แต่หากใครที่ไม่มีแพลน ก็สามารถมาเที่ยวที่นี่ได้อย่างสนุก เพราะที่เกรอน็อบล์นั้นมีไกด์อาสาสมัคร หรือกลุ่มกรีตเตอร์ (Greeters) ที่รับจัดทริปทัวร์ขนาดเล็ก ให้เหมาะสมกับความสนใจของกลุ่มนักท่องเที่ยวด้วย
หากใครมีโอกาสได้มาเยือนเมืองสีเขียวนี้ ขอนำเสนอ Chateau de la Commanderie ที่พักสไตล์ French Country Vintage ซึ่งแม้จะอยู่ห่างจากตัวเมืองสักเล็กน้อย (ใช้เวลาขับรถประมาณ 15 นาที) แต่สิ่งที่ได้มาทดแทนนั้นคุ้มค่ามาก เพราะเป็นที่พักที่อยู่ท่ามกลางวิวภูเขาอันสวยงาม และนี่คือเมืองเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของแนวคิดการส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีและอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
ไม่ว่าจะเลือกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางใดจากทั้ง 3 แห่งที่เราปักหมุดคัดสรรมาให้นี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเติมพลังแต่ยังเปิดโอกาสให้คุณได้ร่วมเสริมสร้างพลังแห่งความยั่งยืนให้แก่โลกใบนี้อีกด้วย