Wonders of Jordan : A Journey Through Diverse History, Culture and Nature ท่อง “จอร์แดน” เมืองตระการตา สัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมตระการใจ

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 64 | คอลัมน์ Horizon

file

แม้จะเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ราว 89,000 ตารางกิโลเมตร แต่ “จอร์แดน (Jordan)” มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างร่องรอยอารยธรรมโบราณ วัฒนธรรมอันรุ่มรวย และธรรมชาติตระการตา ไม่ว่าจะเป็นเพตรา (Petra) นครแกะสลักหินโบราณ เจราช (Jerash) เมืองแห่งยุคโรมันโบราณ ทะเลทรายสีแดงกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่วาดิรัม (Wadi Rum) เรื่อยไปจนถึงทะเลสาบน้ำเค็มเดดซี (The Dead Sea) ที่มีความหนาแน่นของเกลือสูงมากจนไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ สามารถเจริญเติบโตได้ ทว่ากลับมีทิวทัศน์งดงามจับใจ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์ท่องเที่ยวจอร์แดนน่าประทับใจไม่รู้ลืม คือมิตรไมตรีจากชาวจอร์แดนเนียนที่พร้อมจะส่งยิ้ม ทักทาย รวมไปถึงมอบน้ำใจและความช่วยเหลือแก่ผู้มาเยือนบ้านของพวกเขา

ส่วนผสมเหล่านี้คือมนตร์เสน่ห์ที่ทำให้จอร์แดนเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยม ที่เราอยากแนะนำให้คุณไปเยือนสักครั้ง ไม่ว่าจะสนใจหลงใหลประวัติศาสตร์ ต้องการการพักผ่อนเต็มรูปแบบท่ามกลางธรรมชาติและทัศนียภาพแปลกตา หรือหลงรักการเปิดประสบการณ์วัฒนธรรมใหม่ ๆ รับรองว่าจอร์แดนคือทุกคำตอบที่ไม่ทำให้คุณผิดหวัง

Amman: Discovering the Heartbeat of Jordan's Capital City

“กรุงอัมมาน (Amman)” เมืองหลวงแห่งจอร์แดนนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวมักแวะพักกันเพียง 1-2 วัน หลังจากเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งหลายคนเลือกตรงไปยังสนามบินเพื่อเดินทางออกจากจอร์แดนทันทีที่สิ้นสุดทริป แต่ในความจริงแล้วนั้น อัมมานมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ควรค่าแก่การจัดสรรเวลาเพื่อสำรวจให้ลึกซึ้ง มากกว่าเป็นเพียงทางผ่านเพื่อทำความรู้จักอย่างผิวเผิน เริ่มต้นทริปครั้งนี้ จึงขอแนะนำให้แบ่งการท่องเที่ยวอัมมานเป็นสองช่วงเวลา นั่นคือเมื่อเดินทางเข้าประเทศจอร์แดนและก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย

file

 

ช่วงแรกที่เดินทางไปถึง หลังพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง ลองเริ่มต้นด้วยการออกไปสำรวจ “ป้อมแห่งอัมมาน (Amman Citadel)” โบราณสถานชื่อดัง แลนด์มาร์กที่สำคัญที่สุดบนเนินเขาสูง 850 เมตร ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเมือง ภายในบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวิหารเฮอร์คิวลิส (Temple of Hercules) ที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิแห่งโรมัน มาร์คัส ออเรลิอุส สำหรับชิ้นส่วนที่หลงเหลืออยู่คือแท่นและเสา รวมทั้งหินแกะสลักรูปมือขนาดใหญ่ชวนให้จินตนาการถึงความอลังการของวิหารในยุครุ่งเรืองครั้งอดีต และไม่ไกลกันคือ “พระราชวังอุมัยยาร์ด (Umayyad Palace)” บนพื้นที่ราว 15,000 ตารางเมตร เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าอุมัยยาร์ดที่หนึ่ง ในปี ค.ศ. 720 แบ่งเป็นส่วนพระราชฐานและพื้นที่สำหรับการประชุมขุนนาง ถือเป็นอาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวอิสลาม

จุดหมายถัดไปแนะนำให้ไปต่อที่ “โรมัน แอมฟิเธียเตอร์ (Roman Amphitheatre)” ซึ่งตั้งอยู่บนเขา สามารถบรรจุคนได้ถึง 6,000 คน ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในโรงมหรสพแบบโรมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันที่นี่ยังคงใช้เป็นสถานที่จัดอิเวนต์และการแสดงต่าง ๆ สำหรับการเยี่ยมชมนั้น แนะนำให้มาช่วงเช้าเพื่อเข้าชมภายใน และกลับมาอีกครั้งในช่วงกลางคืน โดยถึงแม้ภายในจะปิดแต่เมื่อมองกลับลงมายังเมืองจะเห็นภาพทิวทัศน์ของอัมมานยามค่ำคืนที่สวยงามอย่างยิ่ง 

อีกหนึ่งหมุดหมายที่ไม่ควรพลาดคือ “พิพิธภัณฑ์จอร์แดน (Jordan Museum)” ซึ่งเป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจอร์แดน ด้วยการจัดแสดงชิ้นงานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน อัดแน่นด้วยข้อมูลเรื่องอารยธรรมโบราณ ประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลาม เรื่อยไปจนถึงการพัฒนายุคใหม่

จบเรื่องประวัติศาสตร์และอารยธรรมแล้ว ต้องไปทำความรู้จักกับไลฟ์สไตล์ของเมืองผ่านการกินดื่มที่ “ถนนเรนโบว์ (Rainbow Street)” ย่านฮิปของเมือง ศูนย์รวมศิลปินแขนงต่าง ๆ ทั้งจิตรกร นักเขียน นักดนตรี และแน่นอนว่าต้องเป็นแหล่งรวมแกลเลอรี คาเฟ่ ร้านอาหารด้วยเช่นกัน ย่านนี้คึกคักตลอดทั้งวัน เอ็นจอยได้ทั้งอาหารการกิน การพบปะผู้คนให้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ อีกซีกโลกพร้อมไปกับการชมงานศิลปะ ตลอดจนเพลินกับการสังสรรค์ยามพลบค่ำ 

Step Back in Time: Uncovering the Marvels of Jerash's Capital City

เราแนะนำให้แพลนหนึ่งวันเต็ม ๆ เพื่อเดินทางไป “เจราช (Jerash)” จากอัมมานและกลับในวันเดียวกัน เพื่อให้สามารถเที่ยวชมความอลังการแบบสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ เพียงขับรถ 45 นาที จากอัมมานก็ถึงเจราช เมืองโรมันโบราณที่อยู่เหนือขึ้นไปเล็กน้อย

      

file

เจราชมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกในฐานะโบราณสถานขนาดใหญ่ (Jerash Archaeological City) ซึ่งมีซากปรักหักพังของสถาปัตยกรรมโรมันที่สมบูรณ์ที่สุดในโลกที่อยู่นอกประเทศอิตาลี การมาเยือนเจราชเหมือนได้ท่องอดีตไปยังอาณาจักรโรมันโบราณที่มีสิ่งปลูกสร้างสำคัญ ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทวสถานเทพีอาร์ทีมิส (Temple of Artemis) ซุ้มประตูเฮเดรียน (The Arch of Hadrian) และลานประชุมทรงรี (The Oval Forum) และอื่น ๆ อีกมากมาย และคาดการณ์ว่านครแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อ 100-200 ปีก่อนคริสต์ศักราช

การเยี่ยมชมเจราชจะเดินเล่นชมความตระการตาด้วยตัวเองก็เพลิดเพลินไม่น้อย และถ้าสนใจที่จะมีไกด์อธิบายความสำคัญของจุดต่าง ๆ ภายในโบราณสถาน เพื่อให้เข้าใจความเป็นมามากขึ้นก็มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ 

file

 

Mount Nebo: Where Moses was Buried

“ภูเขาเนโบ (Mount Nebo)” คือหนึ่งในจุดหมายที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของจอร์แดน เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และห่างจากอัมมานเพียง 32 กิโลเมตร ทำให้สามารถเดินทางไปกลับได้สบาย 

ตามเรื่องราวในบันทึกของคัมภีร์ยิวโบราณ เชื่อกันว่าที่นี่คือดินแดนที่โมเสส (Moses) เจ้าชายของอียิปต์ที่ค้นพบว่าตัวเองเป็นชาวยิว ค้นพบแผ่นดินแห่งพระสัญญา (The Promised Land) รวมทั้งยังเป็นที่ฝังร่างของโมเสสด้วย เขาพาชาวยิวแหวกทะเลแดงเพื่อหลบหนีทหารอียิปต์ ขณะพยายามที่จะเดินทางกลับไปอิสราเอล แต่แล้วก็ไปไม่ถึงเพราะเสียชีวิตลงที่ภูเขาแห่งนี้ แต่ชาวยิวที่เหลือสามารถเดินทางกลับถึงอิสราเอลได้อย่างปลอดภัย

เนื่องจากตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนอิสราเอล ทำให้ในวันที่อากาศโปร่งใส ฟ้าเปิด หากขึ้นไปยืนบนภูเขาก็จะสามารถมองเห็นอิสราเอลอยู่ไกล ๆ ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่ตระการตาเลยทีเดียว 

Relaxation Redefined at the Dead Sea

หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนรักสปาจากทั่วโลก ที่ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่น่าจะพอกับประสบการณ์การผ่อนคลายสูงสุดจากแร่ธาตุตามธรรมชาติที่มีอยู่ในทะเลสาบน้ำเค็ม “เดดซี (The Dead Sea)” แห่งนี้ แม้จะมีความเข้มข้นของเกลือสูงมากจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอยู่อาศัยได้ จึงเป็นที่มาของชื่อเดดซีหรือทะเลแห่งความตาย แต่กลับมอบทัศนียภาพอันงดงามซึ่งได้กลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจแสนหรูหรา ต้อนรับผู้คนที่เดินทางหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

        ยามเช้าและช่วงแดดร่มลมตกคือช่วงที่ผู้คนนิยมพักผ่อนอยู่ในบริเวณรีสอร์ทของเดดซีและมาผ่อนคลายริมหาด บางคนลงไปแช่น้ำเล่นเพราะความหนาแน่นของเกลือทำให้สามารถลอยอยู่ในทะเลแบบนิ่ง ๆ ได้โดยไม่จม หลาย ๆ คนไม่ลืมหยิบหนังสือไปเป็นพร็อปแล้วทำท่านอนอ่านหนังสือเพื่อเก็บภาพประทับใจ หรือบางคนก็สนุกกับการใช้โคลนพอกตัว พอกหน้า เพื่อบำรุงผิวพรรณ รวมถึงบริการสปาและทรีตเมนต์ของรีสอร์ทต่าง ๆ ในบริเวณนั้นต่างมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากโคลนเดดซีเพื่อบำรุงผิว

        ใกล้ ๆ กับเดดซี ยังมี “น้ำพุร้อนมาอิน (Ma'in Hot Springs)” ที่อยู่ห่างไปเพียง 30 นาที นอกจากได้ผ่อนคลายเต็มที่กับการแช่น้ำร้อนแสนสบาย ทิวทัศน์รอบ ๆ ยังมอบความเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี 

 

file

ข้อควรระวัง : ต้องระมัดระวังมาก ๆ ไม่ให้น้ำทะเลเข้าตาหรือเข้าปาก เพราะความหนาแน่นของเกลือจะทำให้รู้สึกแสบและใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะหายเป็นปกติ

ที่พักแนะนำ : ฮิลตัน เดดซี รีสอร์ท แอนด์ สปา (Hilton Dead Sea Resort and Spa) ตั้งอยู่ริมฝั่งทางขวาสุดของทะเลเดดซี  ทำให้สามารถเห็นความโค้งเว้าของแนวทะเลที่ดูสวยงาม ที่นี่พรั่งพร้อมด้วยบริการสปาและทรีตเมนต์มากมาย ที่นำแร่ธาตุจากทะเลเดดซีมาใช้เพื่อการบำบัดและบำรุง รวมทั้งยังมีให้บริการคลาสทำสมาธิและโยคะ ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบ สบาย เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งการผ่อนคลายสูงสุด 

The Lost City of Petra: Explore its Impressive Ruins, Tombs and Temples

 “เพตรา (Petra)” นครโบราณที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองวาดิมูซ่า (Wadi Musa) ทางตอนใต้ของจอร์แดน นักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนอาจแวะไปเพียงวันเดียว ซึ่งน่าเสียดายอย่างมาก เพราะในเวลาเพียงหนึ่งวันไม่สามารถที่จะชมความงามของนครโบราณที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ขนาด 264 ตารางกิโลเมตรได้อย่างทั่วถึง เราขอแนะนำว่าควรให้เวลากับเพตราสัก 4 วัน เพื่อดื่มด่ำกับการเยี่ยมชมแต่ละจุดโดยที่ไม่ต้องเร่งรีบจนเสียอรรถรสของการท่องเที่ยว

        “ชนเผ่านาบาเทียน (Nabatean)” ที่เร่ร่อนกลางทะเลทรายอาหรับในยุคโบราณคือผู้สร้างนครแห่งนี้ ตั้งแต่เมื่อ 312 ปีก่อนคริสต์ศักราช จึงเป็นหนึ่งในนครโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ทำเลที่ตั้งของเพตราอยู่บริเวณรอยแยกระหว่างอารยธรรมอาหรับ อียิปต์ และซีเรียฟินิเซีย (Syria-Phoenicia) ด้วยการสร้างและสกัดสิ่งปลูกสร้างจากหินผา ตามสถาปัตยกรรมแบบกรีก ที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่าเฮเลนนิสติก (Hellenistic Architecture) ยูเนสโกกล่าวว่า เพตราคือหนึ่งในสมบัติโลกที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ทางอารยธรรมของมนุษยชาติมากที่สุด  เพราะมีความโดดเด่นทั้งเรื่องสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์

เขตมรดกโลกแห่งนี้มีสมญานามว่า “นครศิลาสีกุหลาบ (The Rose City)” ซึ่งมีที่มาจากหินโทนสีชมพูกุหลาบที่อยู่ภายในเมือง หลังจากเดินผ่านประตูทางเข้าเมืองพักใหญ่ ๆ ความประทับใจแรกของเพตราคือจุดเชื่อมต่อระหว่างปัจจุบันและร่องรอยอดีตแสนอลังการ ผ่านทางเข้าหินแคบสุดวิจิตรที่เรียกว่า “ซิค (The Siq)” และหลังจากนั้นก็จะเจอกับความตระการตาต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “เดอะเทรเชอรี (The Treasury)” วิหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในนครแห่งนี้ที่ได้รับการสกัดหินอย่างวิจิตร อีกทั้งจะยิ่งสวยงามเป็นพิเศษเมื่อมีแสงตกกระทบช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นและตก

        อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ต้องไปคือ “เดอะโมนาสเทอรี (The Monastery)” ซึ่งตั้งอยู่บนเขา จึงใช้เวลานานกว่าจะเจอจุดหมาย รวมทั้งยังใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านการขึ้นบันไดที่แคบและชัน ทว่าการเดินเท้าสิ้นสุดลงด้วยความรู้สึก shot feel จากภาพเบื้องหน้าที่จะทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แม้เป็นสิ่งปลูกสร้างในลักษณะเดียวกันแต่เดอะโมนาสเทอรีมีขนาดใหญ่กว่า ดูเรียบง่ายมากกว่าเดอะเทรเชอรี ซึ่งเชื่อว่าได้รับการปลูกสร้างเมื่อราวศตวรรษที่สามก่อนคริสต์ศักราช

        นอกจากสองจุดใหญ่ที่ต้องมองเห็นด้วยตาหากไปเยือนเพตราแล้ว ภายในนครอันกว้างใหญ่นี้ยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงมหรสพแบบโรมัน หลุมศพโบราณ เรื่อยไปจนถึงโรงละคร ระหว่างทางจะมีแคมป์เบดูอินและร้านค้าที่สามารถเป็นจุดแวะพักจิบเครื่องดื่มและเติมพลังจากของว่างได้ 

ข้อควรรู้ : นอกจากแพลนเวลา 4-5 วันที่เพตราแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือการเดินชมความงามของนครเพตราท้าทายอยู่พอสมควร เนื่องจากบางช่วงเป็นทางเดินขรุขระ บางจุดต้องเดินขึ้นเขา หากต้องการการผ่อนแรงก็สามารถใช้บริการอูฐและม้าขี่ชมบริเวณทางราบได้ แต่ถ้าต้องการตัวช่วยเพื่อขึ้นไปยังเดอะโมนาสเทอรีต้องขี่ลาขึ้นไปเท่านั้น เนื่องจากสรีระและรูปเท้าของลาสามารถเดินบนทางแคบและชันของบันไดได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน พยายามหายใจให้ผ่อนคลายมากที่สุด และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าของลาคอยควบคุมเพื่อนำทางเราให้ไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย

ที่พักแนะนำ : มอร์เวนพิก รีสอร์ท เพตรา (Movenpick Resort Petra) ตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าเพตรา ทำให้สะดวกอย่างยิ่งต่อการเยี่ยมชมมรดกโลกแห่งนี้ พร้อมมีบริการมัคคุเทศก์สำหรับการท่องเที่ยวนครเพตรา นอกจากอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันและร้านอาหารภายในโรงแรมที่มีให้เลือกมากถึง 7 ร้าน รวมไปถึงคลาสสอนทำอาหาร ที่นี่ยังมีสปาทรีตเมนต์เพื่อการผ่อนคลายหลังจากเพลิดเพลินกับการเที่ยวเพตรามาตลอดทั้งวัน 

file
file

Camping under a Thousands Stars in Wadi Rum

ทัศนียภาพของทะเลทรายสีแดงกว้างไกลสุดลูกตา คือความสวยงามแปลกตาที่เป็นเอกลักษณ์ของ “วาดิรัม (Wadi Rum)” ที่นักท่องเที่ยวควรจะได้สัมผัสประสบการณ์ตรงสักครั้งในชีวิต วาดิรัมยังมีชื่อเรียกว่า เดอะแวลเลย์ ออฟ เดอะ มูน (the Valley of the Moon) เพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายพื้นผิวของดวงจันทร์ จนทำให้กลายเป็นฉากพื้นหลังของภาพยนตร์ The Martian ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่นี่คือหนึ่งในมรดกโลก เพราะมีความโดดเด่นทั้งทางสภาพภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก รวมทั้งทางวัฒนธรรมอันเนื่องจากเป็นที่อยู่ของชนเผ่าเบดูอิน (Beduin) มากว่าพัน ๆ ปี พวกเขาจึงได้บ่มเพาะวัฒนธรรมเฉพาะตัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางทะเลทราย และดำรงอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว  

เพื่อให้ได้ใช้เวลาอย่างเต็มอิ่ม เราแนะนำให้ค้างคืนในแคมป์กลางทะเลทรายอย่างน้อยสองคืน และหากหลงใหลจนยังไม่อยากจากไป การพักแรมเพิ่มอีกสักคืนก็เป็นความคิดที่ดีทีเดียว

การท่องวาดิรัมจะต้องมีคนท้องถิ่นที่มีประสบการณ์เป็นผู้นำทาง เพื่อนำไปชมแหล่งท่องเที่ยวอันสวยงามต่าง ๆ จึงควรมีการเตรียมการล่วงหน้า  ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวนิยมใช้บริการของแคมป์ที่เข้าพัก กิจกรรมวาดิรัมล้วนแต่เพลิดเพลินและเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นการขี่อูฐชมความงามยามเช้าเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงแรก การผจญภัยบนเนินทรายขณะที่นั่งอยู่ในรถขับเคลื่อนสี่ล้อ การดื่มชากับชนเผ่าเบดูอิน แวะชอปปิงของพื้นเมืองตามรายทาง การรับประทานอาหารพื้นถิ่นที่ยังปรุงตามวัฒนธรรมชนเผ่าดั้งเดิม รวมถึงการเอนกายนอนมองทะเลดาวส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืดมิดและเงียบสงบของทะเลทรายยามค่ำคืน

ที่พักแนะนำ: เมมโมรี่ส์ ไอชา ลักชูรี่ แคมป์ (Memories Aicha Luxury Camp)  

พื้นที่ภายในแคมป์กว้างขวาง การออกแบบทรงโดมที่ทำให้สามารถมองเห็นดวงดาวพร่างพราวระยับ มีโดมร้านอาหารขนาดใหญ่ที่เพียงพอแก่การรองรับแขกมากมาย เสิร์ฟอาหารแบบชนเผ่าเบดูอินแท้ ๆ ที่มีให้เลือกหลากหลาย รสชาติอร่อยและเป็นเอกลักษณ์ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในแคมป์สุดหรูหราและเป็นที่พักยอดนิยมของวาดิรัม เพราะไม่พร่องเรื่องความสะดวกสบาย ในขณะที่สามารถมอบบรรยากาศของการตั้งแคมป์ท่ามกลางทะเลทรายวาดิรัมอย่างแท้จริง 

สำหรับช่วงท้ายของทริปก่อนจะกลับเมืองไทย แนะนำให้แวะพักที่อัมมานอีกครั้งเพื่อเอ็นจอยกับซีนเมืองหลวงที่คึกคักอีกสักรอบ กลับไปซ้ำร้านอร่อยที่ติดใจอีกสักครั้ง รวมทั้งชอปปิงของขวัญ ของฝาก และของที่ระลึกให้สนุกที่ “ตลาดจารา (Souk Jara)” ตลาดกลางแจ้งที่เปิดช่วงฤดูร้อน มีทุกอย่างตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า ไปจนถึงของที่ระลึก หรือจะไปชอปของไฮเอนด์เก๋ ๆ ที่เดอะ บลูเลอวาร์ด (The Boulevard) ย่านที่อยู่อาศัยหรูหราของอัมมาน ที่มีทั้งออฟฟิศ ร้านอาหาร ศูนย์สุขภาพ และร้านรวงมากมาย สำหรับสายชอปหนักแน่นแนะนำให้ไปจับจ่ายกันแบบเย็น ๆ ที่ “เมกกะ มอลล์ (Mecca Mall)” ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในอัมมาน อยากชอปสิ่งใดที่นี่จัดให้ทั้งหมด ทั้งอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าและของแต่งบ้าน ที่พักแนะนำ : The St. Regis Amman หนึ่งในโรงแรมหรูที่มีดีไซน์สวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงอัมมาน และมีจุดเช็กอินสุดเก๋คือร้านอาหารและบาร์ที่ชั้นดาดฟ้า

Travel’s Guide

  • การเที่ยวจอร์แดนให้จุใจแบบไม่ต้องกังวลว่าตารางการเดินทางจะแน่นเกินไป ควรจัดสรรเวลาเที่ยวอย่างน้อย 10 วัน สำหรับผู้ที่มีเวลามากกว่านั้น การใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์ที่จอร์แดนจะยิ่งทำให้การเดินทางผ่อนคลายสบายกายสบายใจมากขึ้น เพราะมีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่หลังการเดินทางระหว่างเมือง รวมทั้งได้มีเวลาเพิ่มขึ้นในแต่ละจุดหมายปลายทาง
  • คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้าสำหรับการเดินทางไปจอร์แดนและสามารถพำนักในประเทศได้ 30 วัน หลังจากได้ Visa on Arrival ที่ช่องตรวจคนเข้าเมือง
  • Jordan Pass คือแพ็กเกจท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการของจอร์แดนที่สามารถใช้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้มากกว่า 40 แห่ง รวมถึงค่าธรรมเนียม Visa on Arrival จึงเป็นแพ็กเกจที่คุ้มค่าและประหยัดเวลา สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jordan-pass.com/  
  • ก่อนเดินทางเข้าจอร์แดน นักท่องเที่ยวต้องซื้อแผนประกันการเดินทาง จะมีการตรวจเอกสารตั้งแต่จุดเช็กอินตั๋วเครื่องบินก่อนเดินทางออกจากประเทศไทย
  • เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเยือนจอร์แดน คือ ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิจะอยู่ที่ 18-28 องศาเซลเซียส หรือฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ย 20-30 องศาเซลเซียส  
  • จอร์แดนใช้สกุลเงินจอร์แดเนียน ดินาร์ (Jordanian Dinar) ร้านค้าส่วนใหญ่รับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
  • บริการรถเช่าพร้อมคนขับมีอยู่ทั่วไปในจอร์แดน ซึ่งปลอดภัยและเชื่อถือได้