เปิดมุมมอง “รัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร” ผู้บริหารธุรกิจแป้งมันสำปะหลังไทย กับเป้าหมายผู้นำระดับอาเซียน

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 64 | คอลัมน์ New Generation

ด้วยความผูกพันกับธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลังของครอบครัวมาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้คุณรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร เลือกเข้ามาร่วมสานต่อและขับเคลื่อนบริษัท พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช จำกัด (มหาชน) หรือ PQS เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จวบจนกระทั่งตอนนี้ เขาได้กลายเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของการผลักดันให้ PQS เดินหน้าสู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ด้วยการตั้งเป้าหมายธุรกิจไว้ที่ “ผู้นำระดับอาเซียน”

file

สานต่อกิจการโรงแป้งมันสำปะหลัง

จากเด็กชายที่เกิดและค่อย ๆ เติบโตในโรงแป้งมันสำปะหลังของคุณพ่อและคุณแม่ (คุณสมยศและคุณสุวัฒนา ชาญจึงถาวร) ในจังหวัดมุกดาหาร วันนี้คุณรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PQS ได้เดินหน้าสานต่อธุรกิจครอบครัวที่เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนมันสำปะหลังให้กลายเป็น “แป้งมัน” และ “ไฟฟ้า” อย่างมุ่งมั่น ด้วยการสนับสนุนให้ธุรกิจขยายกำลังการผลิตแบบก้าวกระโดดจากในอดีต เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารที่เติบโตสูง

“หลังการก่อตั้งบริษัทในปี 2548 โดยคุณพ่อและเพื่อน ๆ กำลังการผลิตของเราอยู่ที่ประมาณ 100 ตันต่อวัน ผ่านมาถึงวันนี้สามารถผลิตได้มากถึง 400 ตันต่อวัน ในหนึ่งปีเรามีแป้งมันที่จำหน่ายได้ทั้งหมด 2.4 แสนตัน ขณะเดียวกัน เรายังได้นำน้ำที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตแป้ง มาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้กับภาครัฐ ซึ่งแม้จะเป็นรายได้เพียง 1% แต่เราก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าไม่ได้ทำเพื่อแข่งขันกับใคร แต่เป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักของเรา นั่นก็คือการใช้ประโยชน์สูงสุดจากของเสียตามหลักการ Zero Waste”

บททดสอบของทายาทธุรกิจระดับพันล้าน

แม้จะเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดแป้งมันสำปะหลังทางภาคอีสานและประเทศไทยมาตลอดหลายปี แต่อุปสรรคและความท้าทายก็เป็นสิ่งที่ต้องก้าวข้ามไปให้ได้เช่นกัน โดยผู้บริหารหนุ่มยอมรับว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีประเด็นที่เป็นโจทย์ใหม่ซึ่งควบคุมไม่ได้เกิดขึ้นอยู่ตลอด โดยเฉพาะเรื่องโรคที่เกี่ยวกับ “พืช” และ “มนุษย์”

“เรื่องวัตถุดิบคือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจนี้ ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญปัญหาโรคใบด่างที่แพร่ระบาดยาวนานอยู่ถึง 5 ปีในเวลานั้น ก็เป็นประเด็นที่ใหญ่มาก ๆ เพราะผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้ทราบดีว่า หากไร่ไหนเจอโรคใบด่างเข้าไป จะเกิดความเสียหายอย่างน้อย 30 - 50% แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่เราทำเพื่อแก้ไขสถานการณ์ก็คือการร่วมมือกับภาครัฐในการให้ความรู้กับเกษตรกร ส่วนตัวมองว่าพวกเราสามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถควบคุมการแพร่กระจายได้เป็นอย่างดี”

 ผู้บริหารหนุ่มเล่าต่อว่า อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เป็นบททดสอบสำคัญของบริษัทและแทบจะทุกธุรกิจในโลก ก็คือช่วงสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งบริษัทได้ฝ่าฟันปัญหาด้วยการบริหารจัดการความตื่นตระหนกของพนักงาน โดยให้ความรู้ถึงการรับมือกับโรคอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการเรื่องภาพลักษณ์ของบริษัท พร้อมทั้งสื่อสารไปสู่ภายนอก เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า บริษัทมีมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) จึงทำให้ผลิตภัณฑ์มีความสะอาดปลอดภัย”

ก้าวสำคัญสู่การเป็นบริษัทมหาชน

แม้ความท้าทายจะเข้ามาทดสอบความแข็งแกร่งในด้านการบริหารจัดการอย่างไม่ออมมือ แต่คุณรัฐวิรุฬห์กลับมองว่าทั้งสองเหตุการณ์ข้างต้นถือเป็นบททดสอบที่ช่วยเตรียมความพร้อม สำหรับก้าวสำคัญในการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในปีที่ผ่านมา (ปี 2565) ได้เป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นได้จากการบริหารจัดการที่มีศักยภาพ จนส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2563 - 2565) ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ระดับ 2,533 ล้านบาท จากปี 2563 อยู่ที่ระดับ 1,282 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 98% ขณะที่กำไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 284 ล้านบาท จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 246%  (ที่มา : www.set.or.th)

 

file

“เมื่อบริษัทได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องเจอกับความท้าทายเป็นธรรมดา จากเดิมที่มีผู้ถือหุ้นไม่เกิน 10 ท่าน แต่นับจากวันที่จำหน่ายหุ้นสามัญครั้งแรก มีผู้ถือหุ้นมากกว่า 5,000 ราย นั่นหมายถึงเรามี Stakeholders มากขึ้นหลายเท่าตัว ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับมหาชน การดำเนินงานทุกอย่างต้องมีความรัดกุม เพื่อให้การขับเคลื่อนธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนการเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจตอนนี้แม้จะดูเหมือนฟื้นตัวกลับมาได้ดีขึ้น แต่เราก็ยังคงตระหนักในการป้องกันความเสี่ยง เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม เมื่อเราเป็นบริษัทมหาชนที่ต้องการจะเติบโตอย่างยั่งยืน การพิจารณาความเสี่ยงอย่างครบถ้วนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งหลักการนี้เป็นสิ่งที่เราใช้มาตั้งแต่วันแรก จนถึงวันที่เราแปรสภาพรวมถึงอนาคตต่อจากนี้ไปด้วย” 

ปักหมุดเป้าหมาย “ผู้นำอุตสาหกรรมมันสำปะหลังแห่งอาเซียน”

ผู้บริหารหนุ่มยังได้เผยถึงแผนของบริษัทในระยะ 5 ปีข้างหน้าด้วยว่า PQS จะเดินหน้าพัฒนา เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในระดับอาเซียน โดยให้ความสำคัญทั้งธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง อุตสาหกรรมแปรรูปอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร รวมทั้งการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ

          ซึ่งการตั้งเป้าหมายดังกล่าว ไม่เกินไปกว่าศักยภาพที่บริษัทจะทำได้ ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะขับเคลื่อนบริษัทก็คือ เงินที่ได้จากการระดมทุนซึ่งส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในการขยายโรงงานแห่งใหม่ จะส่งผลให้กำลังการผลิตแป้งมันสำปะหลังโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 แสนตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.4 แสนตันต่อปี

“จากที่เราเริ่มระดมทุนในปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพื่อการต่อยอดธุรกิจ สำหรับนำมาใช้ในการสร้างโรงงานเพิ่ม ขยายกำลังการผลิต ขณะเดียวกันมองว่าผลิตภัณฑ์ทางเลือกหรือผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจะเป็นอนาคตของกลุ่มบริษัท ซึ่งเปิดโอกาสให้เราตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของตลาดได้ดีขึ้น เช่น แป้งดัดแปรที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา หรือผลพลอยได้จากการผลิต เช่น กากมันสำปะหลัง จากที่จำหน่ายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อทางเดียว เรากำลังมองหาความเป็นไปได้ในการพัฒนาผลพลอยได้ต่าง ๆ มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนสามารถใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดหลักของบริษัทที่ต้องการจะนำคุณสมบัติของแป้งมาสร้างความเปลี่ยนแปลง ทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้

ในส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มไฟฟ้า ทางบริษัทฯ มีแผนจะยกระดับให้ดีขึ้น เพิ่มความสามารถในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป้าหมายสำคัญคือการลดปริมาณคาร์บอนและความร้อนที่เกิดจากกระบวนการการผลิต รวมถึงการแปรรูปเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในแง่มุมอื่น ซึ่งเรากำลังทำการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”

file

บริหารชีวิตในแบบฉบับของผู้บริหารรุ่นใหม่

นอกจากความมุ่งมั่นและให้ความสำคัญในด้านการสานต่อธุรกิจของครอบครัวแล้ว คุณรัฐวิรุฬห์ยังให้น้ำหนักของความสำคัญในเรื่องการพักผ่อนควบคู่กันไป ด้วยการจัดสรรเวลาให้กับงานอดิเรกอย่างการตีกอล์ฟที่เขามองว่าเป็นกีฬาที่สะท้อนการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี

"ผมพยายามสร้างความกลมกลืนให้กับการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว เรามีหน้าที่ขับเคลื่อนทุกอย่างไปพร้อมกัน ๆ และมีความสุขไปกับมัน และกีฬากอล์ฟเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ทุกเช้ามืดผมจะออกไปตีกอล์ฟกับกลุ่มนักธุรกิจในเมือง ข้อดีอย่างหนึ่งคือไม่กระทบกับเวลาทำงาน  

ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่เล่นมา ผมมองว่ากอล์ฟสามารถสะท้อนการใช้ชีวิตได้ดีมาก ๆ ก่อนจะเริ่มตีลูกออกไป ถ้าเราไม่ปล่อยวาง สร้างความกดดันให้ตัวเอง ส่วนมากจะทำได้ไม่ดี เหมือนกับการทำงานหรือการใช้ชีวิต ที่บางครั้งเราต้องหยุดคิดก่อน เพื่อจะมองว่าสิ่งไหนสามารถทำได้ อะไรที่เสี่ยงก็เลี่ยงไป เมื่อมั่นใจก็เล็งเป้าหมายและทำให้ดีที่สุดครับ”