4 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดดเด่นรับเทรนด์สังคมผู้สูงอายุ
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 65 | คอลัมน์ Global Trend
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) เป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของ Allied Market Research พบว่าเมื่อมองย้อนไปในปี 2563 ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ราว 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2573 จะมีมูลค่าตลาดสูงถึงเกือบ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยทบต้นอยู่ที่ 7.2% ต่อปี (CAGR) ในช่วงระหว่างปี 2564 - 2573
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อการระบาดครั้งใหญ่ของ COVID-19 ผ่านพ้นไป ประกอบกับสังคมผู้สูงอายุที่ขยายตัวไปทั่วโลก ผู้คนก็หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงรุกมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูร่างกาย และป้องกันตัวเองจากความเจ็บป่วย ดังนั้น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะกลายเป็นตลาดหลักในอนาคต ที่ครอบคลุมทุกกิจกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม นิตยสาร TRUST ฉบับนี้ จะนำเสนอ 4 ทางเลือกการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพซึ่งกำลังเป็นที่นิยม
1. การท่องเที่ยวโดยบริโภคอาหารจากพืช
ปัจจุบันมีกลุ่มคนที่หันมาบริโภคอาหารจากพืช (Plant-based Food) มากขึ้น ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการบริโภคอาหารดีต่อสุขภาพ และหลีกเลี่ยงการทารุณกรรมสัตว์ ซึ่งก็มีรีสอร์ทหลายแห่งที่ใช้พืชเป็นเมนูอาหารหลัก ดังเช่นที่ The Green Tiger House จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นโรงแรมแห่งแรกของประเทศไทยที่ผ่านการรับรองจากองค์กร Green Key International ว่าเป็นที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการต้อนรับอื่น ๆ ที่มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน สิ่งที่น่าสนใจคือเมนูอาหารจากพืช เช่น แกงสลัดไทย เบอร์เกอร์เห็ด รวมถึงนมจากพืช เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมที่ดูแลสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขภาพของแขกผู้เข้าพักไปพร้อม ๆ กัน
2. การท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูภูมิคุ้มกันร่างกาย
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผู้ให้บริการที่พักหลายแห่งจึงเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตัวอย่างเช่น ENVI Lodges แบรนด์ที่พักเชิงนิเวศ (Eco-Lodges) ซึ่งมีหลายสาขาทั่วโลก ได้จับมือกับบริษัทในเครือของกลุ่ม Afyaa ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำแห่งซาอุดีอาระเบีย เพื่อสร้างโครงการที่พักสุดหรูหราในแถบดินแดนมรดกโลก Al Ahsa Oasis โดยตั้งอยู่ในฟาร์มอินทผลัม ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดอาหารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ซึ่งนอกจากแขกผู้เข้าพักจะได้ดื่มด่ำกับภูมิทัศน์ทางธรรมชาติของตะวันออกกลางแล้ว ยังได้ลิ้มรสอาหาร และใช้ผลิตภัณฑ์สปาที่ทำจากผลไม้ชนิดนี้อีกด้วย
3. การท่องเที่ยวแบบรักษาภาวะทางอารมณ์
“เม็กซิโก” เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือติดกับสหรัฐอเมริกา ที่นี่มีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เย็นสบายตลอดปี และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เม็กซิโกมีความโดดเด่นด้วยค่าครองชีพที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตั้งแต่ค่าเช่า อสังหาริมทรัพย์ และการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีบัตร “INAPAM (Instituto Nacional para las Personas Adultas Mayores)” คล้ายกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นบัตรที่ให้ส่วนลดค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล ค่าใบสั่งยา ค่าสาธารณูปโภค ตลอดจนภาษีและอื่น ๆ
ค่าครองชีพที่เม็กซิโกมีราคาถูกกว่าสหรัฐฯ และแคนาดา ตั้งแต่ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ค่าใช้จ่ายสุขภาพ สำหรับคนโสดที่มีเงินเพียง 800 ดอลลาร์ฯ ต่อเดือน ก็สามารถอยู่ได้สบาย ส่วนคู่รักจะมีค่าใช้จ่ายราว 2,000-2,500 ดอลลาร์ฯ ต่อเดือน
4. การท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับ
หากพูดถึงคำว่า “การท่องเที่ยว” หลายคนมักนึกถึงการเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศ แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะขาดการนอนหลับ อาจต้องการเพียงสถานที่พักผ่อนเพื่อให้นอนหลับได้สนิทเท่านั้น ซึ่งก็มีที่พักหลายแห่งที่ตอบโจทย์ เช่น Park Hyatt New York โรงแรมระดับ 5 ดาวใจกลางมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มี Bryte Restorative Sleep Suites ห้องสวีทขนาด 900 ตารางฟุต เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการนอนหลับโดยเฉพาะ อาทิ ผ้าปูเตียงจากแบรนด์ Nollapelli ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความชื้น อุณหภูมิ และแรงเสียดสี ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเครื่องนอน นอกจากนี้ยังมีเครื่องกระจายกลิ่น พร้อมน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้แขกผู้เข้าพักนอนหลับสบาย และตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกดีที่สุด
เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ คือโอกาสทองสำหรับธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นที่พัก โรงแรม การคมนาคมขนส่ง ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการปรับตัวเพื่อตอบสนองเทรนด์ดังกล่าว โดยนำเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทั้งในแง่ของความบันเทิงและในแง่การดูแลตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
