ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันอยู่ตรงไหน แล้วเราต้องทำอย่างไรจึงจะยกระดับขึ้นได้
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 69 | คอลัมน์ Smart Investing
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจไทยกำลังมีปัญหาและประชาชนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมากขึ้น โดยทั้งภาครัฐบาลและภาคประชาชน ต่างก็ตั้งคำถามว่า “ทำไมเศรษฐกิจไทยจึงมีทิศทางที่ไม่ได้ฟื้นตัวดีอย่างที่หลายฝ่ายคาดนัก หลังผ่านวิกฤต COVID-19 มา” ซึ่งความกังวลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เสียงสะท้อนที่ดังชัดเจนกึกก้อง และพาดหัวข่าวเชิงลบต่าง ๆ จากแทบทุกสำนัก ไม่ว่าจะเป็นการหั่นเป้าประมาณการเศรษฐกิจ การที่ค่าเงินบาทอ่อนเกือบที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค และกระทั่งการปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทย (SET Index) สู่จุดต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้หลายฝ่ายรวมถึงผู้เขียนเอง ได้ตั้งคำถามและพยายามค้นหาคำตอบว่าแท้จริงแล้ว เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในจุดที่วิกฤตแล้วหรือไม่ ปัญหาอะไรกันแน่ที่ทำให้เศรษฐกิจแย่ลง แล้วพอจะมีทางออกในเรื่องนี้หรือไม่ อย่างไร
ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพการเติบโตที่อยู่ในระดับสูง โดยในช่วงปี 1992-1996 เศรษฐกิจไทยขยายตัวโดยเฉลี่ยมากถึงปีละ 7.3% แต่เมื่อเผชิญกับวิกฤตต้มยำกุ้งจนผ่านพ้นไปได้ เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำลงจากเดิมเหลือเพียงปีละ 4.3% โดยเฉลี่ย และในวิกฤตการณ์ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา หรือวิกฤต COVID-19 หลังจบวิกฤตดังกล่าว ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงมาอยู่ที่เพียงปีละ 2.0% โดยเฉลี่ยเท่านั้น
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในแต่ละครั้งที่เราเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจ ศักยภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมักจะมีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อยมา และเป็นภาพที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยหลายหน่วยงานระบุว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและตรงจุด เพื่อที่จะพลิกฟื้นศักยภาพที่เราเคยมี ให้กลับมามีเศรษฐกิจที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง และหากจะนึกฝันว่าจะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยกลับไปเติบโตได้ในระดับ 5.0% ต่อปี จะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร เพื่อให้สามารถไปได้ถึงฝั่งฝัน
เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วย 3 ภาคส่วนใหญ่ ๆ ประกอบด้วยภาคเกษตรกรรม 6.3% ของ GDP ภาคอุตสาหกรรม 31.3% ของ GDP และภาคบริการ 62.4% ของ GDP ในขณะที่แรงงานในภาคส่วนต่าง ๆ พบว่า กว่า 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในภาคการเกษตร และเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าผลิตภาพของการผลิต (Productivity) ในภาคการเกษตรเพียง 0.21% นั้น ต่ำมากและควรจะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ภาครัฐควรมีแนวทางในการยกระดับการทำเกษตรกรรมให้ก้าวหน้าไปสู่เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้เกษตรกรรู้ว่าควรจะเพาะปลูกพืชชนิดไหน ความต้องการของตลาดในระยะข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รวมถึงทราบข้อมูลการพยากรณ์ของสภาพอากาศอย่างแม่นยำ โดยในการศึกษาพบว่า หากรัฐมีการสนับสนุนเครื่องจักรและเทคโนโลยีรวมถึงการบริหารจัดการที่ดีเพียงพอ เราจะสามารถยกระดับศักยภาพของประเทศได้กว่า 0.8% ของ GDP
นอกจากนี้ ปัญหาทรัพยากรมนุษย์เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปฏิรูปด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ตรงกับที่ตลาดแรงงานต้องการในอนาคต ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข โดยการศึกษาของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ระบุว่า หากประเทศไทยสามารถลดจำนวนของเด็กที่ถูกผลักออกไปจากระบบการศึกษาจะช่วยขจัดผลกระทบในเชิงลบทางเศรษฐกิจ (Economic Costs) ได้กว่า 200,000 ล้านบาท อีกทั้งกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ประเมินว่า การปฏิรูปด้านการศึกษาอย่างเป็นระบบอาจช่วยยกระดับ GDP ของประเทศไทยได้สูงขึ้นถึง 1.7%
ภาคบริการที่ถือเป็นเสาหลักสำคัญในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เรามองว่ายังมีศักยภาพที่จะยกระดับได้อีกมาก หากต่อยอดควบคู่ไปกับการพัฒนาในด้านการดูแลสุขภาพในองค์รวม (Wellness Economy) ซึ่งมีองค์ประกอบภายในอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) ธุรกิจเพื่อพักผ่อนหย่อนใจทั้งด้านร่างกายและจิตใจ (Mental/Physical Wellness Spa) หรือแม้กระทั่งการยกระดับด้านอาหาร (Gastro-Economy) โดยการสนับสนุนอัตลักษณ์วิถีไทย ที่เดิมทีต่างชาติจำนวนมากมายก็นิยมและชื่นชอบเมนูอาหารแบบไทย ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ควบคู่กับการใช้สมุนไพรพื้นบ้านและวัตถุดิบท้องถิ่นชั้นเลิศเพื่อรังสรรค์ให้ได้มาซึ่งอาหารเพื่อสุขภาพที่ทั้งอร่อย มีเอกลักษณ์และดีต่อสุขภาพ การส่งเสริมในภาคส่วนต่าง ๆ ข้างต้นอาจช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคบริการของไทยไปสู่เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ตลาดทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยสถาบัน Global Wellness Insitute ประเมินว่าธุรกิจ Wellness มีศักยภาพในการเติบโตสูงถึงปีละ 10.0% CAGR ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งนับเป็นโอกาสทองที่ผู้ประกอบการต่าง ๆ ในไทยเริ่มเล็งเห็นมากขึ้นแล้ว และหากมีการสนับสนุนเพิ่มเติมจากหน่วยงานรัฐฯ น่าจะช่วยยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยได้อีกมาก
ดังนั้น จึงขอกล่าวโดยสรุปว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังจัดว่ามีเสถียรภาพค่อนข้างสูง และไม่ได้ถือว่าอยู่ในสภาวะวิกฤต แต่ถ้าหากว่าเรายังไม่เร่งปรับตัว แน่นอนว่า ปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมอยู่จะนำเราไปสู่วิกฤตที่หยั่งรากลึกและยากจะแก้ไขอย่างแน่นอน โดยแนวทางต่าง ๆ ข้างต้นที่เราได้นำเสนอไปนั้น เป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้นเพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง และกระตุ้นให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐฯ และประชาสังคม รวมถึงภาคเอกชนหยิบยกไปเป็นกรอบแนวคิดและดำเนินการส่งเสริมให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น และบทความในภาคถัดไป เราจะศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดเพิ่มขึ้น เพื่อมองหาแนวทางต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม ในการนำพาเศรษฐกิจไทยด้วยเครื่องจักรตัวใหม่อย่าง Wellness Economy เพื่อยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยให้กลับมาโดดเด่นในเวทีโลกอีกครั้ง