file

อนาคตของหุ้นกลุ่ม Healthcare ภายใต้รัฐบาล Trump

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 40 | คอลัมน์ Wealth Manager Talk

 

กลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีที่ผ่านมา โดยนโยบายด้านระบบประกันสุขภาพเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญของผู้สมัครเพื่อเข้าช่วงชิงตำแหน่งผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนาง Hillary Clinton จากพรรคเดโมแครตเอง หรือนาย Donald Trump จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งหลังจากที่นาย Trump ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็ได้เดินหน้าดำเนินการตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ โดยการประกาศยกเลิกโอบามาแคร์ และกล่าวว่าจะแทนที่ด้วย “สิ่งที่ดีกว่า”

โอบามาแคร์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า Affordable Care Act (ACA) ที่นาย Barack Obama ประธานาธิบดีคนก่อนได้ริเริ่มไว้ ได้ขยายประกันสุขภาพให้ครอบคลุมประชาชนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นโดยทำให้ประชาชนกว่า 20 ล้านคนที่เดิมไม่สามารถเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้สามารถเข้ารับประกันสุขภาพได้ โอบามาแคร์นับเป็นนโยบายที่ส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Healthcare มาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2010 แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาครัฐต้องใช้งบประมาณมากมายมหาศาลเพื่อสนับสนุนนโยบายนี้ และทำให้บริษัทต่างๆ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากต้องเพิ่มงบประมาณด้านการประกันสุขภาพเพื่อให้พนักงานประจำที่จ้างงานแบบเต็มเวลา (Full Time) เข้าสู่ระบบประกันสุขภาพตามกฎหมายโอบามาแคร์ ซึ่งนับเป็นข้อจำกัดหนึ่งในการเพิ่มอัตราการจ้างงานแบบ Full Time ของสหรัฐฯ โดยบริษัทหรือนายจ้างนิยมหาทางออกโดยการหันไปจ้างงานพนักงานแบบชั่วคราว (Part Time) แทนยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขต่างๆ ของกฎหมายโอบามาแคร์เสมือนเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare ได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยนับตั้งแต่เริ่มใช้กฎหมายโอบามาแคร์ ทั้งเบี้ยประกันและราคายา สินค้าเวชภัณฑ์ต่างๆ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่ออดีตประธานาธิบดี Obama หมดวาระลง นโยบายโอบามาแคร์นี้จะกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศต่อ ดังเช่นที่ ประธานาธิบดี Trump กล่าวอยู่เสมอว่าราคายาในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงเกินไปและโอบามาแคร์ถือเป็นความล้มเหลวของระบบประกันสุขภาพของสหรัฐฯ นาย Trump จึงมุ่งมั่นที่จะกดดันราคายาให้ต่ำลงและปรับระบบการให้ประกันสุขภาพแก่ชาวอเมริกันเสียใหม่ โดยล่าสุดพรรครีพับลิกันภายใต้การนำของนาย Trump ได้ออกร่างกฎหมายด้านสุขภาพฉบับใหม่ เพื่อนำมาใช้แทนกฎหมายโอบามาแคร์ โดยระบุว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยผ่อนคลายภาระทางด้านภาษีและข้อบังคับจากกฎหมายโอบามาแคร์

 

Bootstrap Image Preview

“พรรครีพับลิกันภายใต้การนำของนาย Trump ได้ออกร่างกฎหมายด้านสุขภาพฉบับใหม่ เพื่อนำมาใช้แทนกฎหมายโอบามาแคร์ โดยระบุว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยผ่อนคลายภาระทางด้านภาษีและข้อบังคับจากกฎหมายโอบามาแคร์”

ร่างกฎหมายด้านสุขภาพฉบับใหม่จากรัฐบาลของนาย Trump ที่มีชื่อว่า อเมริกัน เฮลธ์แคร์ (American Healthcare Act) ฉบับนี้มีเนื้อหาที่สำคัญดังนี้ 1) ยกเลิกการใช้รายได้เป็นเกณฑ์ในการให้ส่วนลดในการทำประกันสุขภาพ แต่เปลี่ยนเป็นการให้ส่วนลดโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์แทน 2) ยกเลิกการขยายระบบประกันสุขภาพ (Medicaid Expansion) สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่เข้าเกณฑ์และควบคุมทุนประกันสำหรับผู้มีรายได้น้อยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020 และการให้ประกันสุขภาพแก่ผู้มีรายได้น้อยจะเปลี่ยนจากการให้ประกันสุขภาพแบบเปิดกว้าง (Opened-End) เป็นการให้ประกันสุขภาพตามจำนวนผู้เข้าเกณฑ์ (Per Capita) แทนคือจะมีการกำหนดจำนวนประชากรผู้มีรายได้น้อยที่เข้าเกณฑ์ได้รับประกันสุขภาพ ซึ่งรวมถึงคนพิการ ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ ในแต่ละรัฐเป็นจำนวนที่แน่นอน 3) ยกเลิกการเก็บเบี้ยปรับจากผู้ที่ไม่ซื้อแผนประกันสุขภาพซึ่งถือเป็นการบังคับการทำประกันสุขภาพของบุคคลและนายจ้างตามแบบโอบามาแคร์ แต่จะใช้วิธีโน้มน้าวให้ประชาชนหันมาทำประกันแทนในขณะเดียวกันกฎหมายด้านสุขภาพฉบับใหม่นี้เปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยคิดเบี้ยประกันเพิ่มได้ถึงร้อยละ 30 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำประกันสุขภาพอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายด้านสุขภาพฉบับใหม่นี้ยังคงเปิดโอกาสให้เยาวชนอายุไม่เกิน 26 ปี สามารถใช้ประกันสุขภาพร่วมกับผู้ปกครองได้ และยังห้ามไม่ให้บริษัทประกันภัยปฏิเสธที่จะทำประกันให้กับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยอยู่ก่อน ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขเดิมของโอบามาแคร์ซึ่งได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ

 

Bootstrap Image Preview

“นับตั้งแต่นาย Trump ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและเริ่มส่งสัญญาณที่จะยกเลิกโอบามาแคร์ ได้เป็นประเด็นสำคัญที่กดดันหุ้นในกลุ่ม Healthcare ลง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลและบริษัทประกัน”

แม้ร่างกฎหมายด้านสุขภาพฉบับใหม่นี้ยังเป็นที่ถกเถียงในแง่ของความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพ การเอื้อประโยชน์ต่อผู้ที่มีรายได้สูง รวมถึงงบประมาณที่จะใช้จัดสรรสำหรับการประกันสุขภาพตามกฎหมายฉบับใหม่นี้ที่ยังไม่ชัดเจนและเป็นที่กังวลว่าอาจจะสูงไม่ต่างจากโอบามาแคร์ และยังต้องอาศัยเวลาและขั้นตอนในการดำเนินการเพื่อนำเรื่องเข้าสู่สภาเพื่อพิจารณาผ่านร่างและบังคับใช้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การประกาศยกเลิกโอบามาแคร์และแทนที่ด้วยกฎหมายด้านสุขภาพฉบับใหม่ของประธานาธิบดี Trump ได้สร้างความสั่นคลอนต่อกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare เป็นอย่างมากโดยนับตั้งแต่นาย Trump ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและเริ่มส่งสัญญาณที่จะยกเลิกโอบามาแคร์ ได้เป็นประเด็นสำคัญที่กดดันหุ้นในกลุ่ม Healthcare ลงโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลและบริษัทประกัน

 

รูปที่ 1 : ราคาหุ้นในกลุ่ม Healthcare ภายหลังนาย Donald Trump ชนะการเลือกตั้ง

Bootstrap Image Preview

Source : Google Finance, Money Morning Staff Research

 

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงภาพรวมของกลุ่ม Healthcare จะพบว่า ภาพรวมของกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare ยังดูดี ตรงกันข้าม ราคาหุ้นโดยรวมกลับปรับตัวขึ้นมาเท่ากับช่วงที่เริ่มหาเสียงและมีการพูดถึงการยกเลิกโอบามาแคร์เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาเสียอีก ดังจะเห็น ได้จากกองทุน Health Care Select Sector SPDR (XLV:US) ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ตามภาพ

 

รูปที่ 2 : กราฟแสดงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่ม Healthcare (XLV:US)

Bootstrap Image Preview

Source : http://www.sectorspdr.com/sectorspdr/sector/xlv/charting

 

สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังฟื้นตัวได้ดีเนื่องจากนักลงทุนเริ่มมองเห็นมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นกลุ่มนี้ หลังจากถูกกดดันอย่างหนักในช่วงหาเสียง โดยหุ้นในกลุ่มยังมีงบการเงินที่แข็งแกร่ง และมีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สัดส่วนของประชากรผ้สู งอายุปรับเพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่ม Healthcare ยังเป็นที่ต้องการสำหรับประชาชนในการดำรงชีวิต แม้จะมีกระแสการปรับเปลี่ยนกฎหมายเพื่อบังคับใช้ระบบประกันสุขภาพหรือการควบคุมราคายา ก็ยังทำให้กลุ่ม Healthcare เป็นกลุ่มที่น่าสนใจต่อการลงทุน และดึงดูดให้นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นโดยเฉพาะเมื่อราคาของหุ้นในกลุ่มต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ดังที่ได้กล่าวข้างต้นว่ากฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่จากรัฐบาล

ของประธานาธิบดี Trump ยังต้องอาศัยระยะเวลาในการดำเนินการอีกพอสมควรกว่าจะออกบังคับใช้จริง และเป็นที่คาดการณ์ว่านโยบายด้านอื่นๆ โดยเฉพาะนโยบายด้านภาษีที่เขากล่าวว่าจะนำมาใช้เพื่อจูงใจบริษัทประกันและผู้ผลิตยาให้ดำเนินการตามแนวทางของกฎหมายด้านสุขภาพฉบับใหม่จะช่วยเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทเหล่านี้ได้พอสมควรดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า แม้ประธานาธิบดี Donald Trump จะยกเลิกโอบามาแคร์ แต่ด้วยจุดแข็งในแง่ปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare นี้ ทำให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมีอนาคตที่สดใส และน่าสนใจที่จะทยอยสะสมเข้าพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลงจากกระแสข่าว