file

Exploring Iceland

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 43 | คอลัมน์ Horizon

จังหวะที่เครื่องบินค่อยๆ หย่อนตัวลงสู่แผ่นดินไอซ์แลนด์ (Iceland) ไม่มีนักเดินทางคนไหนกลั้นอาการตื่นเต้นไว้ ได้แน่ เพราะภูมิทัศน์ที่มองเห็นชวนให้นึกสงสัยว่า เรากำลังหายใจอยู่บนดาวเนปจูนหรือดาวพลูโตกันแน่ เมื่อรอบตัว เต็มไปด้วยทิวเขาหิมะ

สำหรับ Nature Lover แล้วล่ะก็ ถัดจากนิวซีแลนด์ก็เห็นจะเป็นไอซ์แลนด์ ที่ต้องมุ่งหน้าไปหา นี่คือแผ่นดินอันอุดมไปด้วยความร้อนที่เดือดดาลอยู่ใต้ดิน ในเวลาเดียวกันก็มีภูเขาไฟซ่อนตัวอยู่ใต้เทือกเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง และน้ำพุร้อนอาจจะอยู่ไม่ไกลกัน...ไปดูสิว่ามีกิจกรรมอะไรบ้างในไอซ์แลนด์ ที่ไปแล้วควรปักหมุดให้อยู่ในลิสต์ของการเดินทาง

 

file

 

Hello Reykjavik

ใครเคยคิดว่าเมืองหลวงของไอซ์แลนด์อย่างเรคยาวิก (Reykjavik) จะแห้งแล้งสีสัน อาจต้องคิดใหม่ เพราะอาคารบ้านเรือนของเมืองนี้คัลเลอร์ฟูลไม่เบาเหมือนกัน หากมีเวลาเดินสำรวจย่านใจกลางเมือง ก็จะเจอกับอาคารที่มีภาพวาดการ์ตูนและกราฟฟิตี้ (Graffiti) ดูดีมีเรื่องราว

แต่ถ้าอยากเจอเรคยาวิกในมุมที่นักเดินทางอาจจะคุ้นเคยหน่อย ก็ต้องไป โบสถ์ฮัลล์กริมสเคียร์คยา (Hallgrímskirkja) ซึ่งรูปร่างหน้าตาและสถาปัตยกรรมดูโดดเด่นแปลกตา เพราะสถาปนิกที่ออกแบบโบสถ์นี้ หลงใหลในรูปทรงของหินบะซอลต์ซึ่งเกิดจากการเย็นตัวของลาวา เลยออกแบบด้านนอกให้เหมือนแท่งหินบะซอลต์ แต่พอทำออกมาแล้วหลายคนกลับบอกว่าหน้าตาเหมือนยานอวกาศ

อีกมุมหนึ่งที่ใครไปใครมาเป็นต้องแวะไปหาคือ ฮาร์ปา (Harpa) เป็นคอนเสิร์ตฮอลล์ที่อวดงานสถาปัตยกรรมสุดทันสมัย มองจากด้านนอกนี่ว่าโมเดิร์นแล้ว พอเดินเข้าด้านในถึงกับร้องว้าวกันเลยทีเดียว เพราะตัวอาคารออกแบบอิงกับรูปทรงเรขาคณิต ให้มองได้หลายมิติ ส่วนผนังเป็นกระจกสลับสี มีบันไดทอดตัวหลายชั้น เรียกว่าออกแบบได้ล้ำจริงๆ อาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ริมมหาสมุทร มองออกไปเห็นภูเขาหิมะเป็นทิวแถว ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้าออกกันทั้งวัน บ้างมาชมสถาปัตยกรรม บ้างก็มาจับจองตั๋วคอนเสิร์ตที่มีให้ดูกันตลอดทั้งปี

 

file

 

Amazing Vatnajokull National Park

อุทยานแห่งชาติวัทนาโยกุล (Vatnajokull National Park) คืออุทยานแห่งชาติที่เนื้อหอมที่สุดของไอซ์แลนด์ ก่อนจะไปถึงอย่าลืมแวะเที่ยวทุ่งลาวา (Lava Field) ซึ่งอยู่ระหว่างทาง ที่นี่เต็มไปด้วยทุ่งมอสไกลสุดลูกหูลูกตา ว่ากันว่าอุทยานแห่งชาติวัทนาโยกุลใหญ่ที่สุดในยุโรปและเต็มไปด้วยความมหัศจ รรย์ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาสูงที่สุดในประเทศก็อยู่ที่นี่ ถ้ำน้ำแข็ง น้ำตกหลายแห่ง และแน่นอนว่าธารน้ำแข็งผืนใหญ่ก็อยู่ที่นี่ด้วย

ภายในบริเวณของอุทยานฯ มี โจกุลชาร์ลอน (Jokulsarlon Glacier Lagoon) ทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ หลายคนอาจรู้สึกว่าไอซ์แลนด์ คือดินแดนแห่งน้ำแข็งจริงๆ เพราะรอบตัวมีแต่ก้อนน้ำแข็งหรือไอซ์เบิร์ก ที่ละลายและแตกออกมาจากธารน้ำแข็งโบราณ ลองใช้เวลาสักพักจะได้สัมผัสก้อนน้ำแข็งสีฟ้าก้อนเล็กก้อนน้อยรูปร่างแปลกแตกต่างกันไป ล่องลอยเหมือนงานศิลปะอยู่กลางทะเลสาบ

เหตุที่ธารน้ำแข็งแตกและลอยแบบนี้ เพราะเมื่อโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ น้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ ก็ละลายลงมาจากธารน้ำแข็งและไหลลงสู่ลากูน (Lagoon) หากโชคดีจะได้เห็นแมวน้ำว่ายปีนป่ายก้อนน้ำแข็ง ยังมีพวกนกทะเลและนกนางนวล บินโฉบเฉี่ยวอยู่รอบๆ ลากูนให้ชมกันอีกด้วย ไม่ไกลจากทะเลสาบธารน้ำแข็งจะมีชายหาดสีดำ ซึ่งมีก้อนน้ำแข็งน้อยใหญ่กระจัดกระจายไปทั่วหาด ราวกับเป็นงานประติมากรรมชิ้นสวยๆ ที่ถูกจัดวางอยู่บนหาดทราย

 

file

 

Trekking on the Skaftafell Glacier

ไม่ไกลจากชายหาดสีดำ ธารน้ำแข็งผืนใหญ่ที่ชื่อสกาฟทาเฟลล์ (Skaftafell Glacier) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติวัทนาโยกุล ก็ทอดตัวยาวเหยียดรอทุกคนอยู่ มาถึงที่นี่แล้วควรหาประสบการณ์สนุกๆ ด้วยการเดินบนธารน้ำแข็ง ซึ่งต้องใส่รองเท้าที่ยึดเกาะกับธารน้ำแข็งสวมเข้ากับรองเท้าอีกที จากนั้นทุกคนต้องเดินไปพร้อมกับไม้เท้า ไกด์จะสอนการเดินและใช้อุปกรณ์ทุกอย่างก่อนจะลงสนามจริง ถือเป็นการเดินทอดน่องไปบนธารน้ำแข็งเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก ที่สำคัญคือใต้กลาเซียร์ (Glacier) แห่งนี้คือภูเขาไฟที่ยังไม่ได้ดับสนิทซะทีเดียว ตลอดการเดินบนธารน้ำแข็งราว 2 ชั่วโมง จึงไม่ได้แค่ผจญภัยอย่างสนุกสนาน แต่ทุกก้าวคือการประคองสติให้อยู่กับตัวมากที่สุด...และนี่จะเป็นประสบการณ์อันน่าจดจำไปอีกนาน

Enjoy the Waterfalls

ไอซ์แลนด์คือดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำตกน้อยใหญ่กระจายอยู่เต็มแผนที่มากกว่าร้อยแห่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกเซลยาลันส์ฟอสส์ (Seljalansfoss) น้ำตกขนาดใหญ่ที่ถึงจะอยู่ห่างๆ สายน้ำก็กระเซ็นมาถึงเราได้ ด้านหน้าอาจจะเห็นแค่น้ำตกที่สูง 60 เมตร แต่ถ้าใครไม่กลัวเปียก ลองเดินไปด้านใต้น้ำตก มองออกมาจะเห็นม่านน้ำตกได้ ไม่ไกลจากน้ำตกเซลยาลันส์ฟอสส์มากนัก จะพบกับน้ำตกสโกการ์ฟอสส์ (Skogarfoss) เรื่องความสูงไม่แตกต่างจากเซลยาลันส์ฟอสส์ แต่กลับดูยิ่งใหญ่กว่า อาจเป็นเพราะน้ำตกดูเยอะกว่า และด้านข้างมีโตรกผาสูงขนาบไว้ และใครมีเรี่ยวแรงจะเดินไต่เขาขึ้นไปชมด้านบนของน้ำตกก็ได้

แต่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยและยิ่งใหญ่ต้องยกให้น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) หลายคนเรียกว่าไนแองการาแห่ง ไอซ์แลนด์ ที่จริงกุลล์ฟอสส์หมายถึงน้ำตกทองคำ น้ำตกแห่งนี้เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง จากนั้นค่อยๆ ลดระดับลงสู่โตรกเขาเบื้องล่าง ที่ในช่วงฤดูหนาวจะกลายเป็นน้ำแข็งซะเกือบหมด

ยังมีน้ำตกอีกแห่งหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยแวะก็คือ น้ำตกบรูอาร์ฟอสส์ (Brúarfoss) บางคนเรียกน้ำตกสีฟ้า บางคนเรียกน้ำตกสะพาน เป็นน้ำตกที่เกิดจากธารน้ำแข็ง ตัวน้ำตกไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ อย่างสวยงาม แล้วกลายเป็นลำธาร จนไปรวมตัวกันเป็นแม่น้ำบรูอาร์ (Bruar River)

 

file

 

Sightseeing at Thingvellir National Park

ไอซ์แลนด์อาจจะมีอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง แต่อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ (Thingvellir National Park) ถือว่าเป็นอุทยานที่หัวบันไดไม่เคยแห้ง เพราะเป็นทั้งอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไอซ์แลนด์ และยังเป็นมรดกโลกที่ยูเนสโกการันตีตำแหน่งนี้เมื่อปี 2004 แถมยังเป็นรัฐสภาแห่งแรกของไอซ์แลนด์ตั้งแต่ปี 930 หลังจากที่ชาวไวกิ้งได้เข้ามาปกครอง สถานที่แห่งนี้มีรอยแตกของแผ่นดินยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหลายหมื่นกิโลเมตร เรียกว่า The Mid-Atlantic Ridge ว่ากันว่า รอยปริของเปลือกโลกนั้นกว้างขึ้นทุกปี เพราะมีการขยับและแยกตัวออกตลอดเวลา ไม่เพียงมีรอยเลื่อนของโลกเท่านั้น แต่บริเวณนี้ยังเป็นจุดเชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาและทวีปยุโรปด้วย

ด้านในของอุทยานฯ มีทั้งทิวเขา ทะเลสาบ ยังมีลำธาร หินผา ทุ่งลาวา และน้ำตก เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว จึงควรใช้เวลากับที่นี่นานหน่อย เพราะบริเวณนี้กว้างขวางมาก อุทยานแห่งชาติ ธิงเวลลีร์จึงเป็นมุมที่เลอค่าน่าทำความรู้จักของไอซ์แลนด์อย่างยิ่ง

 

file

 

See the Geysir

บนผืนดินไอซ์แลนด์ว่าน่าดูแล้ว ใต้ผืนดินก็ยังมีน้ำพุร้อนให้เดินสายเที่ยวชมอีกด้วย ไอซ์แลนด์คือดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันจากไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ ผิวโลก และมีกลิ่นกำมะถันลอยคลุ้งไปหมด

หลายมุมของประเทศนี้มีน้ำพุร้อนเดือดปุดๆ อยู่ใต้ดินหลายบ่อ แต่บ่อที่เป็นพระเอกของที่นี่คือน้ำพุสโตรคคัวร์ (Strokkur) น้ำพุร้อนบ่อใหญ่แห่งเดียวที่ยังแอคทีฟอยู่ เรียกว่า ยืนรอซักประเดี๋ยวเดียว พอได้ยินเสียงเดือดแรงๆ ก็จะเห็นน้ำพุพุ่งขึ้นมาสูงเกือบ 30 เมตร เป็นแบบนี้ทุกๆ 5-10 นาที เกิดจากน้ำในโพรงหินใต้ดินได้รับความร้อนจากพลังงานใต้หินเปลือกโลก เมื่อถึงจุดเดือดจึงขับเคลื่อนน้ำในโพรงขึ้นมากลายเป็นน้ำพุร้อน

นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไอซ์แลนด์มีไว้อวดแขกเหรื่อ แต่หากใครมาแล้วอยากจะอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนแก้หนาว ที่ไอซ์แลนด์นอกจากมีบลู ลากูน (Blue Lagoon) อันโด่งดังแล้ว ยังมีสถานที่อาบน้ำแร่เก่าแก่ที่สุดอยู่แถวชานเมืองเรคยาวิกอีกหลายแห่ง ลองไปแช่ดูแล้วจะรู้ว่าหายหนาวแน่