file

ฝ่าวิกฤต COVID-19 ด้วยหุ้น BIOTECH

นิตยสาร Trust ฉบับที่ 52 | คอลัมน์ Wealth Manager Talk

ช่วงไตรมาสหนึ่งของปี 2020 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่นักลงทุนต่างต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง หลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ไปทั่วโลก โดยมีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีน ซึ่งนับเป็นความเสี่ยงที่หลายฝ่ายคาดไม่ถึง บรรดานักวิเคราะห์ต่างทยอยออกมาปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกลง เนื่องมาจากการชะลอตัวของทั้งภาคการผลิตและภาคบริการที่หดตัวลงในทิศทางเดียวกัน

นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ Fund Manager ทั่วโลกได้ลงความเห็นตรงกันตั้งแต่ต้นปีว่าเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในปีนี้ คือ การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่จะเข้ามาเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินมากขึ้นจากการที่คะแนนนิยมของประธานาธิบดี Donald Trump อยู่ในระดับต่ำกว่าประธานาธิบดีคนก่อนๆ ที่สามารถชนะการเลือกตั้งในสมัยที่สองได้ ทำให้ตลาดเริ่มมีความกังวลว่าผู้สมัครท้าชิงจากพรรค Democrat ซึ่งมีแนวทางการดำเนินนโยบายที่ไม่เป็นมิตรกับบริษัทในตลาดหุ้นนั้นจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ และจุดชนวนให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดการเงินอีกระลอกหรือไม่

ท่ามกลางความไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงในตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้น กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ทาง TISCO Wealth ได้แนะนำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว นั่นก็คือ การลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมจาก Megatrends หรือการเปลี่ยนแปลงของทิศทางกระแสหลักของโลก อาทิ หุ้นกลุ่ม E-commerce ที่ได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technological Breakthroughs) ผนวกกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าและบริการผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น หรือหุ้นกลุ่ม Digital Healthcare ที่ได้รับอานิสงส์จากสังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมทางด้านการแพทย์สมัยใหม่ที่ยกระดับประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น ซึ่งหุ้นกลุ่ม Megatrends เหล่านี้สามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมา แม้จะเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงก็ตาม

ข้อดีของการลงทุนหุ้นในอุตสาหกรรมที่เป็น Megatrends นั้นก็คือ หุ้นประเภทนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว เนื่องจากอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรที่สูง ทั้งยังมีความสม่ำเสมอและไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตตามวัฏจักรเศรษฐกิจบ่อยครั้ง นอกจากนี้หากนักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงโดยเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็น Megatrends หลายอุตสาหกรรม ก็จะช่วยทำให้พอร์ตการลงทุนมีความมั่นคงและสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ยอดเยี่ยมได้

อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Megatrends ซึ่งได้รับอานิสงส์จากความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างประชากรโลกที่มีการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้สูงอายุที่ทาง TISCO Wealth มองว่า มีศักยภาพในการเติบโตที่สูงในอนาคตและน่าสนใจในการลงทุนระยะยาวก็คือ หุ้นกลุ่ม Biotechnology ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในหุ้นกลุ่มบริษัท Healthcare ที่มีการนำเอาความรู้ทางด้านเทคโนโลยี (Technology) มาผสานกับความรู้ทางด้านชีววิทยา (Biology) แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิต ก่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมด้านการรักษาพยาบาลสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผลข้างเคียงที่ลดลง เช่น การผลิตวัคซีนในการป้องกันโรค การใช้เทคโนโลยี DNA เพื่อตรวจสอบความผิดปกติทางด้านพันธุกรรม การผลิต Antibody เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคให้มีความแม่นยำมากขึ้น การผลิตยา Personalized Medicine เพื่อใช้รักษาในระดับยีนเฉพาะแต่ละบุคคล รวมถึงการใช้เทคโนโลยี Gene Variation ในการดัดแปลงยีน เพื่อรักษาอาการผิดปกติทางพันธุกรรมและสามารถตรวจพบความผิดปกติทางด้านพันธุกรรมของทารกได้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ โดยนวัตกรรมเหล่านี้ถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมการแพทย์ทั่วโลก และก่อให้เกิดความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

file

นอกจากแนวโน้มกระแสการเปลี่ยนแปลงหลักของโลกที่เป็นแรงหนุนสำคัญให้กับการเติบโตในอุตสาหกรรม Biotechnology แล้ว หุ้นกลุ่มนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักอีกสามปัจจัย ซึ่งส่งผลให้หุ่นกลุ่มนี้มีศักยภาพสูงในการสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในอนาคตให้กับนักลงทุน ได้แก่

หนึ่ง การกลายพันธุ์ของโรคต่างๆ ในปัจจุบันมีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความต้องการยารักษาที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรดาบริษัท Biotechnology ต่างเดินหน้าทุ่มงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อผลิตและคิดค้นยา วัคซีน เครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีในการวินิจฉัยโรคสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นออกสู่ตลาดและนำไปสู่การสร้างยอดขายของบริษัท Biotechnology ที่เติบโตสูงขึ้น

สอง การอนุมัติยาชนิดใหม่ที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA (Food and Drug Administration) จะเป็นตัวเร่งที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของรายได้และกำไรให้แก่บริษัท Biotechnology นั้นๆ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จะมียาเพียงประมาณ 12% เท่านั้นที่สามารถผ่านการอนุมัติของ FDA และสามารถออกวางจำหน่ายได้ โดยในสิบปีที่ผ่านมามียาที่ได้รับอนุมัติจาก FDA เฉลี่ยปีละ 37 รายการเท่านั้น ทำให้บริษัท Biotechnology ที่มีตัวยาเหล่านั้นใน Pipeline และได้รับการอนุมัติจาก FDA สามารถสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในตลาดที่มีความต้องการจากผู้บริโภคมหาศาล ในขณะเดียวกันคู่แข่งที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดก็มีจำนวนที่จำกัด เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและระยะเวลาที่ยาวนานในการขออนุมัติจาก FDA ที่สำคัญ ในช่วงที่ยาแต่ละตัวของบริษัทผ่านการอนุมัติจาก FDA ราคาหุ้นของบริษัทผู้เป็นเจ้าของยาตัวนั้นๆ มักพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาไม่นาน

สาม แนวโน้มการควบรวมกิจการ (M&A) ภายในอุตสาหกรรม Healthcare ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการที่บริษัทยาขนาดใหญ่มีเงินสดในงบดุลจำนวนมาก ทำให้บริษัทยาส่วนใหญ่ได้มีการทำข้อตกลงควบรวมกิจการกัน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มองว่า การควบรวมกิจการสามารถสร้าง Synergy ให้กับธุรกิจของตนเองได้และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนขยายกิจการเอง ปัจจัยนี้จะส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่ถูกเข้าซื้อกิจการมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการควบรวมกิจการมักมีการทำข้อตกลงซื้อ-ขายกันในระดับราคาที่สูงกว่าราคาตลาด (Premium)

file

ในแง่ของ Valuation พบว่าหุ้นกลุ่ม Biotechnology ทั่วโลกยังซื้อ-ขายในระดับที่ต่ำกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่มีลักษณะธุรกิจเป็น Megatrends โดยมีค่า P/E ที่ประมาณ 20.4 เท่า ถูกกว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare และหุ้นกลุ่ม Technology ที่ตลาดมีการให้ Valuation ในระดับ P/E ราว 25 เท่าและ 30 เท่าตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าที่ระดับ P/E 20.4 เท่าในปัจจุบัน หุ้นกลุ่ม Biotechnology ยังซื้อ-ขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ระดับ 21.5 เท่าอีกด้วย

file

ตัวอย่าง บริษัท Biotechnology ที่สร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมให้กับนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมาก็คือ บริษัท Amgen บริษัท Biotechnology สัญชาติสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการผลิตยารักษาโรคในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด และกลุ่มโรคมะเร็ง ซึ่งสองโรคนี้ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลกมากที่สุด เป็นอันดับหนึ่งและสองตามลำดับ โดยในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้น Amgen ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1,174 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนราว 23% ต่อปี ปัจจุบัน Amgen ยังมียาที่อยู่ในระหว่างการทดสอบของ FDA ในเฟสที่สามอีกกว่า 20 รายการ ทำให้บริษัทยังมีศักยภาพการเติบโตที่สูงมากในอนาคต หากตัวยาเหล่านี้ได้รับการอนุมัติจาก FDA

อีกหนึ่งตัวอย่าง ก็คือ arGEN-X บริษัท Biotechnology สัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่พัฒนาและคิดค้นยาที่เกี่ยวกับโรคแพ้ภูมิตนเองและโรคมะเร็ง รวมถึงยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis) ที่อยู่ระหว่างการทดลองของ FDA ในเฟสที่สาม คาดว่ายาดังกล่าวจะสามารถออกสู่ตลาดได้ในปี 2021 โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของบริษัท arGEN-X ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1,100% หรือคิดเป็นผลตอบแทนราว 66% ต่อปี

จะเห็นได้ว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Biotechnology ซึ่งเป็นธุรกิจที่อยู่ใน Megatrends มีโอกาสที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในอนาคตให้กับนักลงทุนได้ อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคตของบริษัทในกลุ่ม Biotechnology เหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางหลายด้านประกอบกัน นอกจากนี้การติดตามความคืบหน้าในรายบริษัทซึ่งจดทะเบียนซื้อ-ขายอยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศ อาจทำได้ไม่ง่ายนักสำหรับนักลงทุนในไทย ดังนั้น นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในหุ้น Biotechnology ได้ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพทำหน้าที่บริหารและคัดเลือกบริษัทให้กับนักลงทุน

file