คัมภีร์เลือก “ตราสารหนี้” ไม่กลัว Default ผลตอบแทนปัง!

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1692175562835

    จากข้อมูลของ CME Fedwatch ที่ปัจจุบันยังบ่งชี้ว่า Fed มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงในปี 2024 เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจเพราะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวหรือถดถอยได้จากผลของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วตลอด 16 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับแบบสำรวจของ Bloomberg MLIV Survey ที่สอบถามนักลงทุนทั้งหมด 410 เมื่อวันที่ 31 ก.ค. – 4 ส.ค. โดยมีนักลงทุนกว่า 65% มองว่าสหรัฐฯ มีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยภายในปี 2024 ประกอบกับทิศทางของธนาคารกลางยุโรป ECB เริ่มส่งสัญญาณว่าการขึ้นดอกเบี้ยใกล้สิ้นสุด ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศเพื่อคาดหวังผลตอบแทนในภาวะที่นักลงทุนลดความเสี่ยงเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น จากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทั้งสหรัฐฯ หรือยุโรปที่สูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี และมีแนวโน้มที่นักลงทุนตราสารหนี้จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital gain) จากทิศทางการลดดอกเบี้ยในอนาคตอีกด้วย

    อย่างไรก็ดี ช่วงเศรษฐกิจถดถอยไม่ได้หมายความว่าตราสารหนี้ทุกตัวจะสามารถลงทุนได้ ซึ่งหากไม่พิจารณาก่อนการลงทุนให้ดีแทนที่จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนยามวิกฤต อาจทำให้พอร์ตลงทุนเกิดวิกฤตซ้ำได้หากเลือกตราสารหนี้ผิดประเภท

    วิธีการเลือกตราสารหนี้ยามที่นักลงทุนต้องการปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความเสี่ยงต่ำลงหากมีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยในระยะข้างหน้า ควรให้ความสำคัญกับความมั่นคงของผู้ออกตราสารหนี้โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร หรือ Credit rating ที่จัดทำโดยหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งแบ่งออกมาได้ 2 กลุ่ม คือ 1) ตราสารหนี้ “ระดับน่าลงทุน” หรือ Investment grade (IG) ซึ่งจะมีอันดับระหว่าง AAA ถึง BBB- ซึ่งตราสารหนี้กลุ่มนี้จะมีฐานะทางการเงินมั่นคงและมีความสามารถในการชำระหนี้สูง และ 2) ตราสารหนี้ “ต่ำกว่าระดับลงทุน” หรือ High yield (HY) ซึ่งจะมีอันดับระหว่าง BB+ ถึงระดับต่ำสุดที่ D ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ออกตราสารหนี้มีฐานะการเงินอ่อนแอและมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ (Default) สูงกว่า IG นั่นเอง

    โดยช่วงเวลาเศรษฐกิจขาขึ้นไร้ปัจจัยลบที่นักลงทุนมีความมั่นใจ นักลงทุนย่อมแสวงหาการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงสุดบนความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งตราสารหนี้ HY มีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงกว่า IG แน่นอนเพราะ HY มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเพื่อชดเชยความสามารถในการชำระหนี้ที่ด้อยกว่า IG แต่ช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรืออาจลุกลามไปถึงวิกฤตเศรษฐกิจนั้น ธุรกิจต่างๆ ที่ฐานะการเงินอ่อนแอย่อมมีโอกาสขาดสภาพคล่องอันนำไปสู่การผิดชำระหนี้ได้

    ดังนั้น ตราสารหนี้กลุ่ม HY จะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงกว่ากลุ่ม IG ซึ่งเมื่อเกิดการผิดนัดชำระหนี้ผู้ที่ถือตราสารหนี้อาจสูญเสียเงินที่ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งจำนวนได้ หรือหากลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้อาจเกิดผลขาดทุนเทียบเท่ากับมูลค่าของตราสารหนี้ที่มีสถานะผิดนัดชำระหนี้ที่กองทุนลงทุนอยู่ เทียบเคียงกับสถิติในอดีตโดยเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างดัชนีตราสารหนี้ IG และ HY ทั่วโลกช่วงเวลาเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤต 3 ครั้งที่ผ่านมา คือ Dot-com, Hamburger และ COVID-19 จะเห็นว่าการลงทุนในตราสารหนี้ช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ผลตอบแทนของ IG กลับมากกว่า HY แม้อัตราดอกเบี้ยของ HY โดยเฉลี่ยจะสูงกว่า IG ก็ตาม ซึ่งเกิดจากประเด็นผิดนัดชำระหนี้ที่กล่าวไป และรวมถึงการขายออกของนักลงทุนในตลาดเพื่อลดความเสี่ยงการลงทุนออกไป ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ HY ลดลงมากกว่ากลุ่ม IG ด้วยเช่นกัน

ภาพที่ 1: เปรียบเทียบดัชนีตราสารหนี้กลุ่ม Investment grade และตราสารหนี้ High yield ช่วง 3 วิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

1692175766881

Note: Global HY Bond Index use Bloomberg Global High Yield Total Return Index Value Hedged USD

          Global IG Bond Index use Bloomberg Global-Aggregate Total Return Index Value Hedged USD

Source: Bloomberg, TISCO Wealth Advisory

    จะเห็นได้ว่าแม้ตราสารหนี้จะเป็นประเภทตราสารลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าตราสารทุนในทางทฤษฎี แต่ในแง่ของความเสี่ยงในการลงทุนตราสารหนี้นั้น ประเด็นของอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย ซึ่งหากนักลงทุนต้องการแสวงหาผลตอบแทนจากตราสารหนี้ช่วงที่เศรษฐกิจมีทิศทางไม่สดใสนักจะต้องเน้นลงทุนกับตราสารหนี้กลุ่ม IG จะช่วยรักษาเงินต้นและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีกว่า ขณะที่การเลือกลงทุนกลุ่ม HY นั้นไม่ว่าจะลงทุนตราหรือลงทุนผ่านกองทุนรวม อาจทำให้ผลลัพธ์ของการลดความเสี่ยงการลงทุนด้วยการซื้อตราสารหนี้อาจกลายเป็นการ “หนีเสือปะจระเข้” ซึ่งทำให้ขาดทุนจากการลงทุนได้อีกด้วย

    หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ prtisco@tisco.co.th  I

บทความโดย ศิวกร ทองหล่อ CFP® Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

เผยแพร่ครั้งแรก เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ

บทความล่าสุด

ปรับพอร์ตลงทุน สู้ศึกครึ่งปีหลัง 2025

เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังปี 2025 สถานการณ์การลงทุนทั่วโลกยังคงเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากความไม่แน่นอนในการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯกับคู่ค้า รวมถึงสงครามในตะวันออกกลางที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้การคาดเดาทิศทางเศรษฐกิจและจับจังหวะตลาดเป็นเรื่องที่ยาก

อ่านต่อ >>

เลือกประกันโรคร้ายแรงให้รอดจากค่าใช้จ่ายอัลไซเมอร์ 

เมื่อพูดถึงเหตุผลของการมีประกันโรคร้ายแรงเพื่อคุ้มครองค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสุขภาพ เรามักจะคิดถึงโรคที่มีผลร้ายแรงแบบเฉียบพลันจนถึงแก่ชีวิต หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, ทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มโรคข้างต้นทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เมื่อปี 2021 พบสาเหตุของการเสียชีวิตด้วยโรค NCDs กว่า 80%

อ่านต่อ >>

Super Stocks ปลดล็อกพอร์ตลงทุน ข้ามวัฏจักรเศรษฐกิจ

ในโลกการลงทุนที่ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรงจนกลายเป็น “New Normal” นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่มยกธงขาวยอมแพ้และยอมรับว่า การพยายามจับจังหวะตลาดหรือคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจ อาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีกลยุทธ์การลงทุนหนึ่งที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง ซึ่งได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว โดยไม่ต้องจับจังหวะตลาดหรือปรับพอร์ตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ คือ การลงทุนในหุ้นที่เรียกว่า “Super Stocks

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตลงทุน สู้ศึกครึ่งปีหลัง 2025

เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังปี 2025 สถานการณ์การลงทุนทั่วโลกยังคงเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากความไม่แน่นอนในการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯกับคู่ค้า รวมถึงสงครามในตะวันออกกลางที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้การคาดเดาทิศทางเศรษฐกิจและจับจังหวะตลาดเป็นเรื่องที่ยาก

อ่านต่อ >>

เลือกประกันโรคร้ายแรงให้รอดจากค่าใช้จ่ายอัลไซเมอร์ 

เมื่อพูดถึงเหตุผลของการมีประกันโรคร้ายแรงเพื่อคุ้มครองค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสุขภาพ เรามักจะคิดถึงโรคที่มีผลร้ายแรงแบบเฉียบพลันจนถึงแก่ชีวิต หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง, ทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มโรคข้างต้นทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เมื่อปี 2021 พบสาเหตุของการเสียชีวิตด้วยโรค NCDs กว่า 80%

อ่านต่อ >>

Super Stocks ปลดล็อกพอร์ตลงทุน ข้ามวัฏจักรเศรษฐกิจ

ในโลกการลงทุนที่ตลาดหุ้นผันผวนรุนแรงจนกลายเป็น “New Normal” นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่มยกธงขาวยอมแพ้และยอมรับว่า การพยายามจับจังหวะตลาดหรือคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจ อาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีกลยุทธ์การลงทุนหนึ่งที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง ซึ่งได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว โดยไม่ต้องจับจังหวะตลาดหรือปรับพอร์ตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ คือ การลงทุนในหุ้นที่เรียกว่า “Super Stocks

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า