ลงทุนจีนให้ปัง ต้องลงทุนในกลุ่ม Healthcare

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1629719021314

ในระยะแรกของการแพร่ระบาด COVID – 19 จีนเผชิญกับการระบาดของโรค COVID-19 อย่างหนักหน่วง และเป็นที่มาของการระบาดครั้งใหญ่ของโลก แต่จีนใช้เวลาไม่นานในการจัดการกับการแพร่ระบาดของโรคนี้  และในวันนี้ จีนกลายเป็นประเทศที่ฟื้นตัวได้เร็วที่สุด และเป็นจุดมุ่งหมายที่หอมหวนของผู้ลงทุน แต่การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน แม้จะเป็นจีนเหมือนกัน ย่อมได้ผลลัพธ์หรือผลตอบแทนที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตได้โดดเด่นและจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี คือ กลุ่ม Healthcare ของจีน

ด้วยองค์ประกอบทางด้านประชากรของจีน ที่มีจำนวนประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรโลก และยังเป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวกระโดด โดยในปี 2020 จีนมีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ถึง 12% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 16.9% ในปี 2030 และแน่นอนเมื่อมีผู้สูงอายุมากขึ้น ค่าใช้จ่ายเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพย่อมเพิ่มขึ้นตามตัว

ธุรกิจเฮลธ์แคร์จีนโตเด่นตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ

ปัจจุบัน ตลาดเฮลธ์แคร์ของจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่สหรัฐอเมริกา เท่านั้น ในขณะที่อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงกว่า 10% ส่วนสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตประมาณ 4% และด้วยองค์ประกอบทางด้านประชากรของจีน จึงทำให้อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของจีนจะมีโอกาสเติบโตได้สูงมากในอนาคต

รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์อย่างมาก โดยเมื่อปี 2016 มีการออกแผนกลยุทธ์ Healthy China 2030 เพื่อปฏิรูประบบเฮลธ์แคร์ของประเทศ โดยรัฐบาลจีนมองว่าแผนกลยุทธ์นี้จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว แผน Healthy China 2030 นี้ มีจุดมุ่งหมายให้ชาวจีนมีสุขภาพที่ดีและสามารถเข้าถึงการให้บริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนการคิดค้น วิจัย และผลิตยาตัวใหม่ มีการปรับปรุงระบบและขั้นตอนในการอนุมัติยาให้สามารถอนุมัติยาได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับระบบการแพทย์อัจฉริยะ ที่มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบ Big Data และ การใช้ระบบ Internet เพื่อช่วยให้การแพทย์ของจีนพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เฮลธ์แคร์จีน ธุรกิจอนาคตใกล้ในระดับสากล

ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าและการสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้บริษัทในกลุ่มเฮลธ์แคร์ของจีนได้รับการยอมรับไม่เพียงแค่ในประเทศจีน แต่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในตลาดโลก ยกตัวอย่างเช่น บริษัท BeiGene เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceutical) ที่มุ่งเน้นการพัฒนายารักษาโรคมะเร็ง โดยยารักษาโรคมะเร็งหลายตัวจาก BeiGene ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) และยังมีการร่วมมือกับบริษัทยาชั้นนำอย่าง Amgen และ Novartis เพื่อช่วยให้ตัวยาจาก BeiGene ของจีนเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อีกบริษัทที่น่าสนใจ คือ Wuxi Biologics ซึ่งมีแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถต่อยอดการคิดค้น พัฒนา และผลิต ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น วัคซีนต่างๆ ออกสู่ตลาดโลกได้ โดยมีการคาดการณ์ว่า ตลาดทางด้านผลิตภัณฑ์ชีวภาพของจีนจะสามารถเติบโตได้ถึง 40% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าสหรัฐฯ เป็นเท่าตัว โดย Wuxi ครองสัดส่วนของตลาดนี้ถึง 75% และล่าสุดเมื่อช่วงปลายปี 2020 ที่ผ่านมา Wuxi Biologics ได้เข้าซื้อโรงงานจากบริษัท Bayer ที่เยอรมัน เพื่อผลิตวัคซีนสำหรับ COVID-19 และวัคซีนอื่นๆ ออกสู่ตลาดโลก และนี่เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทของบริษัทผู้ผลิตยา สัญชาติจีนที่มีต่อตลาดโลก

นอกจากนั้น ยังมีบริษัทในกลุ่ม PAT ได้แก่ Ping An, Alibaba และ Tencent ที่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า วันนี้กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของจีนเริ่มเบนความสนใจจากกลุ่มเทคโนโลยีมาเป็นกลุ่มเฮลธ์แคร์มากขึ้น และเป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่อีกหลายบริษัทที่กระโดดเข้ามาร่วมในกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์เช่นกัน

กลุ่มอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของจีนยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกไกล ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยทางด้านประชากร การสนับสนุนจากภาครัฐ รวมไปถึงความล้ำหน้าของเทคโนโลยี จึงไม่แปลกใจว่าธุรกิจในกลุ่มนี้จะหอมหวนเป็นที่ต้องการของทั้งเจ้าของธุรกิจและผู้ลงทุน และจะข่วยสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามต่อผู้ลงทุน

แผนภาพที่ 1: อัตราการเติบโตของตลาดเฮลธ์แคร์ที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับ 

1629696574448

ที่มา: KraneShares as of 2017

===================================

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ prtisco@tisco.co.th

บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT™ Wealth Manager

เผยแพร่ครั้งแรกที่คอลัมน์ Financial Planning กรุงเทพธุรกิจ

บทความล่าสุด

ยิ่งผันผวน ยิ่งต้องวางแผน : กองทุนตราสารหนี้แบบไหนควรมีติดพอร์ตในปี 2025

ผ่านช่วง 4 เดือนแรกของการลงทุน เห็นได้ว่าปี 2025 จะเป็นอีกปีที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้นจากนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของประเทศสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีการผ่อนคลายหรือเลื่อนนโยบายแต่ก็ยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลให้หลายบริษัทเริ่มชะลอการลงทุน และเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่คาด

อ่านต่อ >>

ปั้นเงินเกษียณเพิ่มจากประกันสังคมด้วยประกันบำนาญ

หลังจากปีนี้ที่คณะกรรมการประกันสังคมเห็นชอบหลักการปรับสูตรบำนาญชราภาพสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 แบบใหม่ชื่อว่า CARE หรือ Career-Average Revalued Earnings โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป โดย CARE ออกมาเพื่อให้จ่ายเงินบำนาญชราภาพแก่ผู้ประกันตนมากขึ้นรวมถึงการขยายเพดานค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินสมทบ

อ่านต่อ >>

ทำไมควรมี REITs ติดพอร์ตในปี 2025 ?

ไตรมาสแรกของปี 2025 เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก และทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวในวงจำกัดและยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปีนี้คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts: REITs) ซึ่งได้รับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่เป็นขาลง

อ่านต่อ >>

ยิ่งผันผวน ยิ่งต้องวางแผน : กองทุนตราสารหนี้แบบไหนควรมีติดพอร์ตในปี 2025

ผ่านช่วง 4 เดือนแรกของการลงทุน เห็นได้ว่าปี 2025 จะเป็นอีกปีที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้นจากนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของประเทศสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีการผ่อนคลายหรือเลื่อนนโยบายแต่ก็ยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลให้หลายบริษัทเริ่มชะลอการลงทุน และเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่คาด

อ่านต่อ >>

ปั้นเงินเกษียณเพิ่มจากประกันสังคมด้วยประกันบำนาญ

หลังจากปีนี้ที่คณะกรรมการประกันสังคมเห็นชอบหลักการปรับสูตรบำนาญชราภาพสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 แบบใหม่ชื่อว่า CARE หรือ Career-Average Revalued Earnings โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป โดย CARE ออกมาเพื่อให้จ่ายเงินบำนาญชราภาพแก่ผู้ประกันตนมากขึ้นรวมถึงการขยายเพดานค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินสมทบ

อ่านต่อ >>

ทำไมควรมี REITs ติดพอร์ตในปี 2025 ?

ไตรมาสแรกของปี 2025 เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก และทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวในวงจำกัดและยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปีนี้คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts: REITs) ซึ่งได้รับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่เป็นขาลง

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า