มีอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น Blockchain หรือ AI หนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมการแพทย์เช่นกัน คือ Genomics ในปี ค.ศ.1990 นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ก่อตั้งโครงการ Genome Project เป็นครั้งแรก เพื่อศึกษาการถอดรหัสพันธุกรรม (DNA Sequencing) ซึ่งในช่วงเวลานั้นต้องใช้ระยะเวลากว่า 13 ปี พร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงถึง 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของคนเพียง 1 คน
แต่ปัจจุบันการถอดรหัสพันธุกรรมของคน 1 คน ใช้เวลาเพียง 2 วัน พร้อมกับค่าใช้จ่ายเพียง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าในอนาคตจะเหลือเพียง 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ หมายความว่า การถอดรหัสพันธุกรรมกำลังกลายเป็นกระแสหลัก (Mass) และเรากำลังอยู่ในยุคที่สามารถทราบข้อมูลว่ารหัส DNA ของเรานั้นแพ้ยา หรือมีความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง หรือ อัลไซเมอร์หรือไม่
CRISPR-Cas9 การตัดต่อพันธุกรรมที่แม่นยำ
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่พัฒนาไปพร้อมกับ การถอดรหัสพันธุกรรมและร่วมกันปฏิวัติอุตสาหกรรมการแพทย์ คือ การตัดต่อพันธุกรรม หลังจากในปี ค.ศ. 2011 ศาสตราจารย์ เอ็มมานูเอล ชาร์เพนทิเยร์ ชาวฝรั่งเศส และ ศาสตราจารย์ เจนนิเฟอร์ เดาด์นา ชาวอเมริกันได้คิดค้นและพัฒนาเทคนิคใหม่ในการตัดต่อพันธุกรรมที่เรียกว่า CRISPR-Cas9 (คริสเปอร์-แคสไนน์) ซึ่งเปรียบเสมือนกับ “กรรไกรทางพันธุกรรม” ตัวอย่างของการนำ CRISPR-Cas9 มาประยุกต์ใช้คือ พืช GMOs ที่ถูกลดข้อด้อยและเพิ่มข้อดี เช่น ทนทานต่อสภาพอากาศ, ยุงจีเอ็มต้านเชื้อมาลาเรีย, การแก้ไขพันธุกรรมเด็กหลอดแก้วในจีนเพื่อรักษาการติดเชื้อ HIV, การใช้อวัยวะเทียมจากสัตว์อื่นและมาดัดแปลงให้เข้ากับมนุษย์ และการรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย, อาการตาบอดจากพันธุกรรม และใช้ผลิตภูมิคุ้มกัน T-cell สำหรับทำลายมะเร็งในร่างกายมนุษย์
โดยปกติแล้วร่างกายของเราได้ถูกกำหนดส่วนหนึ่งไว้แล้วว่าเราจะมีโรคหรือไม่มีโรค แพ้ยา แพ้อาหารหรือไม่ ทำให้แต่ละคนนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไม่เท่ากัน การที่เราสามารถถอดรหัส DNA ซึ่งจัดว่าเป็นสคริปต์ของสิ่งมีชีวิตจะช่วยบ่งบอกได้และทำให้คนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ทันท่วงทีก่อนที่จะเกิดโรค
นอกเหนือจากนั้นด้วยเทคโนโลยี DNA Sequencing และ CRISPR-Cas9 ทำให้อุตสาหกรรมการแพทย์ได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เรียกว่า “Precise Medicine” หรือ “การแพทย์แบบแม่นยำ” คือ การออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งจะได้รับข้อมูลจากการถอดรหัส DNA ในอนาคตวงการการแพทย์จะสามารถสร้าง “Living Drugs” ที่จะเปลี่ยนเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราให้เข้าไปต่อสู้กับเซลล์มะเร็งแทนการฉายรังสี หรือ การทำคีโม
ซึ่ง Living Drugs ในปัจจุบันมีเพียง 6 ตัวที่ได้รับการอนุมติจาก FDA แต่มีอีกหลายร้อยประเภทที่กำลังทำการวิจัย และทดลอง และคาดว่าในอนาคตจะมียาประเภท Living Drugs ใช้กันอย่างแพร่หลาย แน่นอนว่าราคายาเหล่านี้ยังแพงเป็นสองเท่าของการรักษาแบบปกติ เช่น Kymriah ของ Novartis ซึ่งเป็น Living Drugs สำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาวยังมีราคาที่สูงถึง 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการรักษา 1 คอร์ส
ความก้าวหน้าของ Genomics จะช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของประชากรกว่าพันล้านคนทั่วโลกให้มีชีวิตยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีขึ้นและที่สำคัญบริษัทที่วิจัยและพัฒนาในเรื่องนี้จะสามารถเก็บเกี่ยวโอกาสที่จะเติบโตได้ในอนาคต แต่ปัจจุบันการวิวัฒนาการของ Genomics ยังไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่ม Mass เท่าที่ควร เนื่องจากความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวยังมีน้อยทำให้ยังมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ไม่มากนัก
หุ้นธุรกิจ Genomics ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นแม้ตลาดผันผวน
หากดูจากหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ Genomics จะพบว่า บริษัทเหล่านี้บางบริษัทมีขนาดใหญ่ แต่อีกหลายบริษัทยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีบริษัทให้เลือกลงทุนไม่มากนัก กองทุน ETF ที่ลงทุนในอุตสาหกรรม Genomics ยังมีไม่แพร่หลาย หนึ่งในกองทุนที่เป็นดาวเด่นของ Genomics ที่ทั่วโลกกำลังจับตามองคือ ARKG (ARK – Genomic Revolution ETF ) โดยทีมงานของ Cathie Wood ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในบริษัทที่ทำ “Disruptive Innovation” โดยจะเน้นคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำ
เนื่องจากในสภาวะที่ตลาดผันผวน หุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่น ขณะที่ในสภาวะตลาดไม่เป็นใจ หุ้นกลุ่มนี้กลับปรับตัวลดลงน้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่น กองทุน ARKG ให้ผลตอบแทนในปี 2020 สูงถึง 179% เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม Biotech ที่ให้ผลตอบแทน 50% (อ้างอิงจาก SPDR S&P Biotech ETF) และมากกว่ากลุ่ม Healthcare (อ้างอิงจากHealthcare Sector SPDR Fund) ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 12% ถึงแม้จะได้รับประโยชน์จากการคิดค้นและพัฒนาวัคซีน
ปัจจุบันยังมองว่าบริษัทที่กำลังเกาะแนวโน้มการเติบโตไปกับ Genomics นั้นยังเป็นเพียงแค่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ทำให้คุณ Cathie Wood นั้นกล่าวว่า Genomic Revolution นั้นเป็น “One of the most exciting investment ideas we have ever experienced” และนั่นจึงถือว่าเป็นโอกาสของนักลงทุนที่สามารถลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตในระยะยาวและกำลังจะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันที่จะช่วยให้ประชากรทั่วโลกมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีอายุที่ยืนยาวขึ้น เมื่อคุณภาพชีวิตดีขึ้นก็นำไปสู่การพัฒนาสิ่งใหม่ๆ จะเห็นได้ว่า Genomics นอกจากจะช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนแล้วยังช่วยเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น
=========================
เผยแพร่ครั้งแรกที่ สถานีลงทุน ประชาชาติธุรกิจ