คิดถึงสวัสดิการที่มีก่อนตัดสินใจซื้อประกัน

file

ปัจจุบันนอกจากคนไทยจะหันมาใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้นแล้ว การวางแผนเรื่องการทำประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพ ก็ได้รับความสนใจมากขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากสถิติการชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ปี 2011 - 2020 ที่มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.68% ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับสังคมไทย อย่างเช่น การสร้างหลักประกันยามเจ็บป่วยและไม่สร้างภาระให้แก่ลูกหลานเมื่อยามชรา ทำให้ลูกหลานมีเงินเหลือไปเก็บออมหรือลงทุนมากขึ้นได้ เป็นต้น อย่างไรก็ดี การลงทุนต้องพิจารณาและศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุนฉันใด การซื้อประกันก็ต้องพิจารณาให้ดีฉันนั้น เพื่อให้เบี้ยประกันที่เราจ่ายไปไม่สูญเปล่าและสามารถสร้างความคุ้มครองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้

ก่อนเลือกประกันต้องดูว่าเรามีความคุ้มครองอะไรแล้วบ้าง

สิ่งสำคัญก่อนที่จะตัดสินใจซื้อประกันประเภทใดก็ตาม คือ การรวบรวมข้อมูลความคุ้มครองที่ตนเองมี ณ ปัจจุบันก่อนตัดสินใจ เพื่อไม่ให้ประกันเหล่านั้นไปทับซ้อนกับความคุ้มครองที่มีอยู่เดิมหรือคุ้มครองมากจนเกินจำเป็นและนำงบประมาณไปใช้กับความคุ้มครองส่วนอื่นที่ขาดไปหรือไปลงทุนเพิ่มเติมได้

โดยทั่วไปแล้วมนุษย์เงินเดือนมักมีสวัสดิการประกันกลุ่มจากบริษัทนายจ้าง ซึ่งอาจคุ้มครองทั้งด้านสุขภาพและอุบัติเหตุ โดยครอบคลุมทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก อย่างประกันสังคมตามมาตรา 33 ที่มนุษย์เงินเดือนสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิหรือเครือข่ายของสถานพยาบาลนั้นๆ อีกทั้งยังได้รับเงินช่วยเหลือสำหรับการคลอดบุตรและกรณีทุพพลภาพอีกด้วย โดยต้องจ่ายเงินสบทบมาไม่น้อยกว่า 15 เดือน และ 6 เดือนตามลำดับ จากนั้นเมื่อเราเก็บรวบรวมข้อมูลความคุ้มครองที่มีอยู่เดิมเรียบร้อยแล้ว จึงตัดสินใจเลือกแบบประกันที่สนใจต่อไป

วงเงินคุ้มครองของประกันที่มีอยู่เพียงพอหรือไม

วงเงินความคุ้มครองของทั้งประกันกลุ่ม รวมถึงประกันสังคม อาจไม่มากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในปัจจุบัน หากเราเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง, หัวใจ หรือไตวาย ฯลฯ ที่ถึงแม้โอกาสเจ็บป่วยแบบร้ายแรงจะพบได้ไม่บ่อยนัก

แต่หากจำเป็นต้องรักษาโรคเหล่านี้ ค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาพยาบาลจะสูงมาก ทั้งนี้หากมีงบประมาณที่จำกัด แต่ยังต้องการความคุ้มครองสุขภาพสำหรับการรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ ในวงเงินสูง และยังสามารถใช้ประโยชน์ความคุ้มครองจากสวัสดิการนายจ้างหรือบริษัทต้นสังกัดที่มีอยู่แล้ว อาจพิจารณาแบบประกันสุขภาพที่มี “ความรับผิดส่วนแรก” ได้ เพื่อเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันสุขภาพ และยังได้ความคุ้มครองในวงเงินเท่าที่ตนเองต้องการโดยยังสามารถใช้สวัสดิการที่มีอยู่ควบคู่ไปได้อีกด้วย

ข้อดีของประกันสุขภาพที่มีความรับผิดส่วนแรก

ความรับผิดส่วนแรก (Deductible) ในด้านของประกันสุขภาพ หมายถึง ให้ผู้เอาประกันภัยออกค่าใช้จ่ายในการรักษาไปก่อน โดยหากค่าใช้จ่ายเกินกว่าที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทผู้รับประกันภัยจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มเติมให้กับผู้เอาประกันภัย วิธีนี้จะช่วยให้ผู้เอาประกันสามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันสุขภาพได้มากขึ้น หากมีวงเงินความรับผิดส่วนแรกมาก

 เช่น หากแผนประกันสุขภาพสำหรับผู้เอาประกันเพศชายอายุ 34 ปีของบริษัท A มีวงเงินคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่ายปีละ 500,000 บาท ค่าเบี้ยปกติ 12,936 บาทต่อปี หากต้องการเลือกให้มีความรับผิดส่วนแรกวงเงิน 20,000 บาท ค่าเบี้ยจะลดลงเหลือ 9,216 บาท ซึ่งประหยัดค่าเบี้ยไปได้ราว 30% และหากเลือกความรับผิดส่วนแรก 50,000 บาท ค่าเบี้ยประกันจะเท่ากับ 6,708 บาท จะประหยัดค่าเบี้ยประกันไปได้ราว 50% อีกด้วย ซึ่งหากผู้เอาประกันภัยมีสวัสดิการจากนายจ้างก็สามารถนำมาใช้ในส่วนของความเสียหายส่วนแรกได้ และยังสามารถมาเบิกกับประกันสุขภาพที่ทำเพิ่มไว้ หากค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาเกินสวัสดิการที่ได้รับอีกด้วย

ในปัจจุบันทั้งมนุษย์เงินเดือน รวมถึงบริษัทเอกชนต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับหลักประกันสุขภาพมากขึ้น จึงเกิดสวัสดิการต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ดีด้วยค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ลูกจ้างจึงจำเป็นต้องทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมไว้ ซึ่งการตัดสินใจเลือกแบบประกันที่มีความรับผิดส่วนแรก จะช่วยให้สามารถบริหารค่าเบี้ยประกันที่จ่ายออกไป หรือสามารถเพิ่มหลักประกันให้กับตนเองและครอบครัวได้อีกด้วย

 

ภาพที่ 1: สถิติเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2563

file

ที่มา: สมาคมประกันชีวิตไทย

 

==================================================

เผยแพร่ครั้งแรกในบทความ Health is Wealth กรุงเทพธุรกิจ

บทความล่าสุด

หุ้นกลุ่ม Healthcare ทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีหุ้นโลก

โพสต์เมื่อ 25 เมษายน 2567

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะสูงกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare จะกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีตลาดหุ้นโลก

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตสร้างกำไร ขายหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เบนเข็มลงทุน “หุ้น Asia ex Japan”

โพสต์เมื่อ 25 เมษายน 2567

ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตดีกว่าคาด โดยภูมิภาคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และยังเป็นปีแห่งโอกาส

อ่านต่อ >>

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 25 เมษายน 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>