หุ้นกลุ่ม Healthcare ทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีหุ้นโลก

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1713429221138

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะสูงกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare จะกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีตลาดหุ้นโลก
กลุ่ม Healthcare เผชิญกับความท้าทายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในแง่อัตราการเติบโตแบบปีต่อปี (YoY) ที่ชะลอตัวลงหลังการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตามในปี 2024 นี้ กลุ่ม Healthcare กลับมาโดดเด่นอีกครั้งด้วยแนวโน้มการเติบโตทางกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่ Factset คาดว่าจะเติบโตได้สูงถึง 15% ซึ่งสูงกว่าภาพรวมตลาดอย่างดัชนี S&P500 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ราว 11% และเป็นรองเพียงแค่กลุ่ม Information Technology และกลุ่ม Communication Services ที่มีแนวโน้มเติบโตที่ 18%

ปีนี้ กลุ่ม Healthcare ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนยาที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ที่กลับมาอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID โดยปีที่แล้ว FDA ได้อนุมัติตัวยาจำนวน 55 ตัว สูงกว่าปีก่อนหน้าที่มียาได้รับการอนุมัติเพียง 37 ตัว และมีแนวโน้มว่าในปี 2024 นี้ จะมียาที่ได้รับการอนุมัติในระดับสูงเช่นกัน ในขณะที่แนวโน้มการควบรวมกิจการ (M&A) ของกลุ่มเริ่มกลับมาฟื้นตัวในปีที่ผ่านมาและมีการคาดการณ์จาก PWC ว่าจะยังคงเพิ่มขึ้นถึง 20% ในปี 2024 นี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญนอกเหนือจากยอดขายและผลกำไรที่จะผลักดันให้ราคาของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Healthcare ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในปีนี้

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม Healthcare ก็คือ กลุ่มธุรกิจ Biotechnology ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีถึง 12.5% (CAGR) ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่การคิดค้นวิจัยยาตัวใหม่และได้รับอนุมัติจาก FDA ที่กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในปีที่แล้วเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ยาลดความอ้วน “Tirzepatide” ของบริษัท Eli Lilly ที่ได้รับการอนุมัติและวางขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ในปีที่แล้วเป็นเสมือนการเปิดศักราชใหม่ของยาลดน้ำหนักและคาดว่าการแข่งขันจะสูงขึ้นต่อเนื่องจากตลาดยาลดน้ำหนักที่ยังมีมูลค่ามหาศาล ความสำเร็จในการคิดค้นจนนำยาลดน้ำหนักออกสู่ตลาดของ Eli Lilly ดันให้ราคาหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นไปกว่า 100% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และการแข่งขันที่ดุเดือดจะนำไปสู่การทำ M&A โดยบริษัทยาขนาดกลางถึงเล็กที่มีนวัตกรรมยาชนิดใหม่จะถูกบริษัทยาขนาดใหญ่ที่มีความได้เปรียบในแง่เงินลงทุนเข้าไปควบรวบกิจการและผลักดันให้มูลค่าของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด รวมไปถึงราคาหุ้นของบริษัทด้วย

หากพิจารณาที่ระดับราคาปัจจุบันของกลุ่ม Healthcare พบว่า ยังซื้อขายในระดับราคาที่ค่อนข้างถูก โดย ณ ปัจจุบัน หุ้นกลุ่ม Healthcare ของสหรัฐฯยังซื้อขายด้วยระดับ Fwd PE ที่ถูกกว่ากลุ่ม Technology ของสหรัฐฯ ถึง 10% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และเมื่อพิจารณากลุ่ม Healthcare ของโลก (MSCI World Healthcare) เทียบกับหุ้นโลก (World Index) พบว่าราคากลุ่ม Healthcare ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ราว 5%

ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น ในขณะที่ราคาของกลุ่ม Healthcare ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ Factset ประเมิณว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare จะเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะ 1 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare ของสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนถึง 10.2% จากราคาปัจจุบัน ในขณะที่คาดว่าดัชนี S&P500 จะให้ผลตอบแทนราว 7% เท่ากับกลุ่ม Communication Services ส่วนกลุ่ม Information Technology คาดว่าจะให้ผลตอบแทน 7.5% สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้แนวโน้มการเติบโตในปีนี้ของกลุ่ม Information Technology และ Communication Services จะสูงกว่า Healthcare แต่ราคาหุ้นของกลุ่มเหล่านี้ได้สะท้อนแนวโน้มการเติบโตไปแล้ว ในขณะที่ราคาของหุ้นกลุ่ม Healthcare เพิ่มเริ่มกลับมาเท่านั้น

ปี 2024 นี้ จึงมีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Biotechnology จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น และกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวนทีตลาดโลกได้ไม่ยากนัก

กลุ่ม Healthcare มี Upside สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ในปี 2024 

1713429435622

ที่มา: Factset, TISCO Wealth Advisory, data as of 20 Mar 2024 

บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT™ 

Wealth Manager

บทความล่าสุด

ล็อก Yield ดี หนีความผันผวน เข้า Global Bond

นับตั้งแต่ต้นปี 2025 จนถึงปัจจุบัน ตลาดการเงินต้องเผชิญกับความผันผวนที่อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง อันเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่รุนแรงกว่าที่ตลาดคาด รวมถึงมาตรการตอบโต้ทางภาษีจากบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นส่วนใหญ่เผชิญแรงเทขายอย่างรุนแรงและให้ผลตอบแทนติดลบ

อ่านต่อ >>

กางสถิติหุ้นสหรัฐฯ บ่งชี้เข้าใกล้จุดซื้อลงทุน

หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศวันปลอดปล่อย (Liberation day) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. เปรียบเสมือนประกาศทำสงครามการค้าอย่างเป็นทางการด้วยการคิดอัตราภาษีตอบโต้การค้า (Reciprocal tariff) กับทุกประเทศทั่วโลก 10% ถึง 145% ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ 3 วันลดลงแรง -10.73% ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากที่สุดอันดับ 11 นับตั้งแต่เก็บสถิติช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

อ่านต่อ >>

ยิ่งผันผวน ยิ่งต้องวางแผน : กองทุนตราสารหนี้แบบไหนควรมีติดพอร์ตในปี 2025

ผ่านช่วง 4 เดือนแรกของการลงทุน เห็นได้ว่าปี 2025 จะเป็นอีกปีที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้นจากนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของประเทศสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีการผ่อนคลายหรือเลื่อนนโยบายแต่ก็ยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลให้หลายบริษัทเริ่มชะลอการลงทุน และเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่คาด

อ่านต่อ >>

ล็อก Yield ดี หนีความผันผวน เข้า Global Bond

นับตั้งแต่ต้นปี 2025 จนถึงปัจจุบัน ตลาดการเงินต้องเผชิญกับความผันผวนที่อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง อันเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่รุนแรงกว่าที่ตลาดคาด รวมถึงมาตรการตอบโต้ทางภาษีจากบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นส่วนใหญ่เผชิญแรงเทขายอย่างรุนแรงและให้ผลตอบแทนติดลบ

อ่านต่อ >>

กางสถิติหุ้นสหรัฐฯ บ่งชี้เข้าใกล้จุดซื้อลงทุน

หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศวันปลอดปล่อย (Liberation day) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. เปรียบเสมือนประกาศทำสงครามการค้าอย่างเป็นทางการด้วยการคิดอัตราภาษีตอบโต้การค้า (Reciprocal tariff) กับทุกประเทศทั่วโลก 10% ถึง 145% ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ 3 วันลดลงแรง -10.73% ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากที่สุดอันดับ 11 นับตั้งแต่เก็บสถิติช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

อ่านต่อ >>

ยิ่งผันผวน ยิ่งต้องวางแผน : กองทุนตราสารหนี้แบบไหนควรมีติดพอร์ตในปี 2025

ผ่านช่วง 4 เดือนแรกของการลงทุน เห็นได้ว่าปี 2025 จะเป็นอีกปีที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้นจากนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของประเทศสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีการผ่อนคลายหรือเลื่อนนโยบายแต่ก็ยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลให้หลายบริษัทเริ่มชะลอการลงทุน และเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงกว่าที่คาด

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า