เมื่อโลกกำลังเข้าสู่ปี 2026 การลงทุนในตราสารหนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ท้าทายกว่าเดิม หลังจากปี 2025 ที่ธนาคารกลางหลายประเทศลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจแต่เมื่อเงินเฟ้อชะลอและเศรษฐกิจเริ่มทรงตัว ระดับดอกเบี้ยของหลายประเทศกำลังก้าวเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย หรือ Neutral rate ซึ่งเป็นระดับดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว การลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่เหมือนปีก่อนอาจเกิดขึ้นน้อยลง นักลงทุนจึงต้องปรับวิธีเลือกกองทุนตราสารหนี้ใหม่ โดยพิจารณา 3 ประเด็นหลักก่อนการลงทุนในตราสารหนี้ ได้แก่ แนวโน้มของดอกเบี้ยนโยบายประเทศที่ลงทุน การปรับเพิ่มระดับความเสี่ยงในหุ้นกู้เอกชน และปรับอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในพอร์ตการลงทุน เพื่อให้ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในปี 2026
แนวโน้มการชะลอการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเริ่มเด่นชัดในช่วงปลายปี 2025 หลายประเทศเริ่มส่งสัญญาณเปลี่ยนจากการลดดอกเบี้ยอย่าง ”ต่อเนื่อง” เป็น “ชะลอ” เพื่อดูผลกระทบจากนโยบายการเงิน หลังระดับดอกเบี้ยนโยบายของหลายภูมิภาคเริ่มเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย หรือ Neutral rate เช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ประกาศว่าดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการเติบโตเศรษฐกิจภูมิภาคแล้ว ทำให้โอกาสลดดอกเบี้ยนโยบาลลงแรงเหมือนที่ผ่านมาน้อยลง ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนตราสารหนี้ในปี 2026 จะไม่ได้มาจากการลดดอกเบี้ยลงเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับการปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการเลือก “กองทุนตราสารหนี้ปี 2026” ควรใช้การลงทุนเชิงรุกมากขึ้นเดิมดังนี้
1. เลือกการลงทุนในตลาดที่ดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มลง : ตราสารหนี้ได้ประโยชน์มากที่สุดในช่วงดอกเบี้ยขาลง หลายประเทศยังส่งสัญญาณผ่อนนโยบายการเงินลงต่อเนื่องในปีหน้าโดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)เดือนกันยายน 2025 ระบุว่า เฟดยังเปิดโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 2 ครั้งในปี 2026 ทำให้ราคากองทุนตราสารหนี้ในประเทศเหล่านี้ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงข้างหน้า
2. เพิ่มสัดส่วนหุ้นกู้คุณภาพดี : เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นส่งผลให้ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ (Default risk) ของภาคเอกชนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าโอกาสผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯจะลดจากระดับ 5% ในปี 2023 เหลือประมาณ 2.5% ในปี 2026 ทำให้หุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) กลับมาโดดเด่น เพราะนอกจากจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรแล้วยังได้รับแรงหนุนจากบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น ทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงดอกเบี้ยทรงตัว
3. เน้นตราสารหนี้อายุสั้น–กลางเพื่อลดความผันผวน : ตราสารระยะสั้นตอบสนองต่อดอกเบี้ยนโยบายโดยตรง ส่วนตราสารหนี้ระยะยาวมีความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินเฟ้อและคาดการณ์เศรษฐกิจมากกว่า ในปี 2026 ยังมีโอกาสเห็นเงิน
เฟ้อขยับขึ้นหรือเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ราคาตราสารหนี้ระยะยาวอาจผันผวนได้มาก กองทุนตราสารหนี้อายุสั้นถึงกลางจึงได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงและช่วยบริหารความเสี่ยงได้ดีกว่า
ในปี 2026 ยังเป็นปีที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอดีต สถิติชี้ว่ากองทุนตราสารหนี้ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้แต่ต้องเลือกลงทุนเชิงรุกมากขึ้น โดยเน้นประเทศที่ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย เพิ่มสัดส่วนหุ้นกู้คุณภาพดี และขยับอายุตราสารหนี้พอร์ตการลงทุนเฉลี่ยไปสู่ตราสารหนี้สั้นถึงกลาง กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้พอร์ตปรับตัวเข้ากับช่วงดอกเบี้ยขาลงสู่ช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มเข้าใกล้เป้าหมาย หรือ Neutral rate ได้อย่างมั่นคง พร้อมเปิดโอกาสในการทำผลตอบแทนที่เหมาะสมภายใต้สภาวะเศรษฐกิจใหม่ของปี 2026
บทความโดย ยศรวี จงแสงทอง, AFPT™ , AISA
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้


