ผู้คนในแต่ละช่วงวัย มีไลฟ์สไตล์และกิจกรรมที่อาจจะแตกต่างกัน ดังนั้นความเสี่ยงที่ต้องเจอก็มักแตกต่างกันด้วย การเตรียมรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดในอนาคตด้วยการทำประกัน จึงถือเป็นการลดความเสี่ยงทางการเงิน ทั้งยังได้ประโยชน์จากการประหยัดภาษีอีกด้วย ซึ่งประกันที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัยจะมีดังนี้
1. วัยเริ่มทำงาน (โสด 22-30 ปี)
เป็นวัยที่อยากรู้ อยากลอง มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ประกันที่วัยนี้ควรมีคือ
- ประกันอุบัติเหตุ
เนื่องจากเป็นวัยที่ชอบทำกิจกรรม ทั้งเล่นกีฬา เดินทาง ท่องเที่ยว ปีนเขา เป็นต้น จึงค่อนข้างเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูง - ประกันสุขภาพ
เป็นประกันที่ควรซื้อไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากหากมีประวัติเจ็บป่วยมาก่อนการตัดสินใจซื้อประกัน อาจไม่สามารถซื้อประกันได้ หรือหากซื้อได้ ก็อาจไม่คุ้มครองโรคที่ตรวจพบมาก่อนการทำประกัน โดยอาจซื้อแบบมีความรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible) เพราะหากเราทำงานออฟฟิศ เราอาจจะมีประกันสังคม หรือมีสวัสดิการที่บริษัทให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว - ประกันโรคร้ายแรง
ปัจจุบันโรคร้ายแรงเริ่มพบบ่อยมากขึ้นในคนที่อายุน้อย และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูง ซึ่งในวัยนี้อาจมีเงินเก็บไม่มากพอ จึงต้องมีเงินที่จะเป็นเงินก้อนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยเบี้ยประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรงที่จ่าย ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อรวมกับประกันชีวิตแล้วไม่เกิน 100,000 บาทอีกด้วย - ประกันชดเชยรายได้
จะช่วยชดเชยรายได้ที่เสียไปในขณะที่ทำการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว
2. วัยกลางคน/สมรส (30-45 ปี)
อาจเป็นวัยที่เริ่มแต่งงาน สร้างครอบครัว อาจมีบุตรหรือไม่มีบุตร และมีภาระหนี้สิน ทำให้วัยนี้เป็นช่วงวัยที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำประกัน โดยนอกเหนือจากการปิดความเสี่ยงในช่วงวัยเริ่มทำงานแล้ว ประกันที่ควรมีสำหรับวัยนี้คือ
- ประกันสะสมทรัพย์
เพื่อสร้างวินัยในการออมที่ดี และสามารถนำเบี้ยที่จ่ายไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท - ประกันมรดก
เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่อาจมีหนี้สินทางการเงินมากที่สุด และมีคนข้างหลังที่ต้องดูแล เพื่อวางแผนส่งมอบมรดกให้ลูกหลาน สำหรับเป็นค่าการศึกษาบุตร เป็นต้น อีกทั้ง เบี้ยประกันที่จ่ายยังได้รับการลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทด้วย
3. วัยใกล้เกษียณ (45-60 ปี)
เป็นวัยที่ต้องวางแผนเพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายยามเกษียณอายุ นอกเหนือจากการปิดความเสี่ยงในช่วงวัยกลางคนแล้ว ประกันที่ควรมีสำหรับวัยนี้คือ
- ประกันบำนาญ
เปรียบเสมือนเป็นแหล่งเงินได้ยามเกษียณ โดยยิ่งเริ่มต้นวางแผนเพื่อการเกษียณเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพื่อให้มีเงินไว้ใช้จ่ายในวันที่เราไม่ได้ทำงานแล้ว ซึ่งควรเลือกแบบประกันที่มีผลประโยชน์ในขณะดำรงชีวิต (Living Benefits) หรือประกันที่คุ้มครองในขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่ในจำนวนที่สูง เช่น แบบเงินรับบำนาญทุกปี ปีละ 24%/ 36% ของจำนวนเงินเอาประกัน เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายหลังเกษียณ อีกทั้งยังสามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาทด้วย
4. วัยเกษียณ (60 ปีขึ้นไป)
เป็นช่วงชีวิตที่เราได้หยุดพักจากการทำงาน ได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกหลานหรือคนที่รักอย่างเต็มที่ แม้จะไม่ได้ทำงานแล้ว แต่อาจมีเงินก้อนใหญ่ที่เก็บออมมาตลอดการทำงานไว้ใช้ยามเกษียณ
สำหรับวัยนี้ ควรเป็นวัยที่ทำประกันสุขภาพมาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากอายุที่มากขึ้น อาจมีโรคประจำตัวที่ทำให้ไม่สามารถทำประกันสุขภาพได้ แต่หากทำได้ก็อาจไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนการทำประกัน แต่ถ้าทำประกันสุขภาพไม่ทัน ก็อาจจะมีทางเลือกเช่น การทำประกันอุบัติเหตุสำหรับผู้สูงอายุที่คุ้มครองทั้งชีวิต ค่ารักษาพยาบาล และชดเชยรายได้ เพราะโอกาสที่ผู้สูงอายุจะประสบอุบัติเหตุ เช่น ลื่น หกล้มมีสูง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ในกลุ่มของการบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคในปี 2021 พบว่า มีผู้สูงอายุที่เสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มมากกว่า 1,000 รายต่อปี รวมถึงสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอลงไม่สมบูรณ์เหมือนตอนหนุ่มสาว การทำประกันอุบัติเหตุสำหรับผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญ
จะเห็นได้ว่า การซื้อประกันมีความจำเป็นมาก เพราะแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยหนักหรือเบา ก็ยังมีประกันช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังช่วยบรรเทาภาระทางภาษีที่จะต้องเสียด้วย แต่ทั้งนี้ก็ควรพิจารณาเลือกซื้อแบบแผนและความคุ้มครองให้เหมาะสมกับงบประมาณที่เรามี รวมถึงตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการในแต่ละช่วงวัยด้วย
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I
บทความโดย วิภาดา ศุภกุลวณิชย์ AFPT™
Assistant Wealth Manager ธนาคารทิสโก้
เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ SET Investnow