M&A อีกหนึ่งโอกาสทางอนาคตของนวัตกรรม Biotech

file

 

ตลาดหุ้นตอบรับในเชิงบวก หลังการประชุม FOMC วันที่ 2 - 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่ง Fed ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0-0.25% และปรับลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Taper) ลง เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามคาด และส่งสัญญาณว่า Fed ยังไม่เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งภายหลังการประชุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) อายุ 10 ปี ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.45% (as of November 6, 2021) โดย TISCO Economic Strategy Unit (TISCO ESU) มีมุมมองว่า Bond Yield อาจทรงตัว เนื่องจากรับรู้ทิศทางนโยบายการเงินที่จะเข้มงวดขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้นต่อจากนี้

สำหรับประเด็นที่คนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ คงเป็นเรื่องการที่บริษัททั้ง Merck & Co. และ Pfizer ได้พัฒนายารักษา COVID-19 ออกมา ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางด้าน Biotechnology โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา บริษัท Pfizer ได้แถลงถึงความสำเร็จของยา Paxlovid ว่า ผลการทดลองในระยะที่ 3 สามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วย COVID-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตได้ถึง 89% ซึ่งหลังการประกาศข่าวนี้ ทำให้หุ้น Pfizer ปรับตัวขึ้นกว่า 11% ในช่วงก่อนเปิดตลาด    

ขณะที่มองว่า หุ้นในกลุ่ม Healthcare ยังคงเป็นหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจหลังจากนี้ ด้วย Valuation ที่ยังถูกอยู่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Biotechnology ที่มี Forward 12-Month PE of S&P 500 Biotechnology Index (S5BIOTX Index) ตัวแทนของหุ้นกลุ่ม Biotechnology ยังซื้อ-ขายอยู่ในระดับต่ำเพียง 10.54 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ประมาณ 13 เท่า (as of November 4, 2021)

นอกจากนี้ในครึ่งปีแรกของปีนี้พบว่า มีการควบรวมกิจการ (M&A) ของหลายบริษัท ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Horizon Therapeutics ที่ได้เข้าซื้อบริษัท Viela Bio. ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิต้านทางเนื้อเยื่อตนเอง (Autoimmune Disease) ขั้นรุนแรง วงเงินกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยบริษัท Viela Bio. เป็นบริษัทลูกของบริษัท AstraZeneca ก่อตั้งเมื่อปี 2018 และเมื่อปี 2020 บริษัท Viela Bio. ยังได้รับการอนุมัติยาตัวแรกจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) สำหรับยารักษาโรคภูมิต้านทางเนื้อเยื่อตนเองที่รุนแรงและหายากอีกด้วย

ถัดมา บริษัท Amgen ที่เข้าซื้อกิจการของบริษัท Five Prime Therapeutics วงเงิน 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง Five Prime Therapeutics เป็นบริษัทที่กำลังพัฒนาการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารหรือมะเร็งหลอดอาหารขั้นรุนแรงแบบพุ่งเป้า และบริษัท Merck & Co. ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท Pandion Therapeutics ที่พัฒนาเกี่ยวกับการรักษาโรคแพ้ภูมิตนเอง เป็นวงเงิน 1,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นต้น โดยราคาหุ้นกลุ่ม Biotechnology ในช่วงที่ผ่านมา มักจะมีการปรับราคาขึ้นได้ดีเมื่อมีการควบรวมกิจการ และมีการอนุมัติยาจาก FDA เกิดขึ้น

หากดูตามการวิเคราะห์ของ PwC ที่เป็นบริษัทวิจัยทางการตลาดและมุมมองทางเศรษฐกิจ คาดว่า ในช่วงที่เหลือของปีน่าจะเห็นการทำ M&A มากขึ้น เนื่องจากช่วงต้นปี 2021 ที่ผ่านมา การทำ M&A นั้นมีค่อนข้างน้อยและไม่มีข้อตกลงขนาดใหญ่ แต่ในช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีกิจกรรม M&A เพิ่มมากขึ้น และอาจเป็นข้อตกลงขนาดใหญ่ด้วย

อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังมียาที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA อีกมากมาย โดยมีรายงานจาก Evaluate Vantage ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้มุมมองเชิงลึกและแนวโน้มในอุตสาหกรรม Biotech เวชภัณฑ์ยาและ Medtech ที่คาดว่า ยาที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ดังกล่าวจะเป็นยาที่มียอดขายในปี 2026 อยู่ในระดับสูง ยกตัวอย่างเช่น ยา Aduhelm (Aducanumab) ซึ่งเป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ของบริษัท Biogen นอกจากนี้ Eisai มีการคาดการณ์ยอดขายอยู่ที่ 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยา Efgartigimod ของบริษัท Argenx ที่เป็นยาที่ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้อที่พบได้ยาก คาดการณ์ยอดขายอยู่ที่ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยา Mavacamten ที่ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (Cardiomyopathy) ของบริษัท Bristol-Myers Squibb คาดการณ์ยอดขายจะอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ปัจจัยที่กล่าวมาของหุ้นในกลุ่ม Biotechnology ไม่ว่าจะด้วย Valuation ที่ยังถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี การคาดการณ์ถึงการได้รับประโยชน์จากทั้งการควบรวมกิจการ การอนุมัติยาจาก FDA และการคาดการณ์ยอดขายในอีกราว 5 ปีข้างหน้าที่สูง น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่ม Biotechnology สามารถเติบโตและมีศักยภาพที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต

 

==========================================================

 

เผยแพร่ครั้งแรกที่คอลัมน์ Money Talk ของ Business Today

บทความล่าสุด

ปรับพอร์ตสร้างกำไร ขายหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เบนเข็มลงทุน “หุ้น Asia ex Japan”

โพสต์เมื่อ 18 เมษายน 2567

ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตดีกว่าคาด โดยภูมิภาคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และยังเป็นปีแห่งโอกาส

อ่านต่อ >>

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 18 เมษายน 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>

Asia ex Japan หุ้นไม่แพง โตแรงแซงเศรษฐกิจโลก

โพสต์เมื่อ 18 เมษายน 2567

ท่ามกลางตลาดหุ้นหลักของโลก เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น New High ต่อเนื่องจนมูลค่าเริ่มตึงตัว แต่หุ้นกลุ่มประเทศเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น ยังมีมูลค่าการซื้อขายยังอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

อ่านต่อ >>