ธนาคารทิสโก้เปิด 3 ธีมลงทุนปีกระต่าย ทั้งสร้างกำไรสวนทางเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ธีม High Potential Country อย่างประเทศจีน และเวียดนาม 2. ธีม High Demand Sector อย่างกลุ่มหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ เทคโนโลยี และหุ้นเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน และ 3. ธีม High Stability อย่างพันธบัตรสหรัฐฯ และทองคำ
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ในปี 2566 จะมีความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะลดลงช้ากว่าที่คาด และความเสี่ยงจากการถอนสภาพคล่องของธนาคารกลางต่างๆ แต่ธนาคารทิสโก้มองว่าท่ามกลางวิกฤตล้วนแต่มีโอกาสการลงทุนซ่อนอยู่ และเริ่มมีข่าวดีที่สนับสนุนการลงทุน เช่น ประเทศจีนประกาศเปิดประเทศ เป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจจีนรวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ขณะที่ราคาหุ้นบางประเทศ และราคาหุ้นบางกลุ่ม ได้ปรับลงมาตลอดปี 2565 ทำให้มูลค่าปรับลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่ง ในทางสถิติราคาหุ้นมักจะสะท้อนภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ราว 6 เดือนถึง 1 ปี แสดงให้เห็นว่าตลาดได้รับรู้ความเสี่ยงในปี 2566 ไปพอสมควรแล้ว นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนในบางประเทศและบางกลุ่มอุตสาหกรรมยังมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงสวนกระแสเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ธนาคารทิสโก้จึงเชื่อว่าปี 2566 จะเป็นปีแห่งโอกาสในการลงทุน และเพื่อให้สะดวกต่อการจัดสรรพอร์ตการลงทุน ธนาคารทิสโก้จึงแบ่งธีมการลงทุนที่มีโอกาสสร้างกำไรสูงในปี 2566 จำนวน 3 ธีม ดังนี้
1. High Potential Country เศรษฐกิจ - กำไร บจ.โตสูง ราคาหุ้นไม่แพง
ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เน้นลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสวนกระแสการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก โดยตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นโลก (Outperform) จะต้องเป็นตลาดหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจยังมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับที่สูง มีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่แข็งแกร่ง และที่สำคัญคือ มีมูลค่า (Valuation) ที่อยู่ระดับต่ำเพียงพอที่จะทำให้เกิดส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) ในการลงทุน ได้แก่ ตลาดหุ้นจีน และเวียดนาม
โดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 4.4% ขณะที่เวียดนามจะขยายตัวที่ 6.2% สวนทางกับเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.7% รวมถึงการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามปี 2566 ก็อยู่ระดับสูงที่ 17.3% และ 13.2% ตามลำดับ สวนทางกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่มีการเติบโตของผลประกอบการที่ชะลอตัวลง
2. High Demand Sector ธุรกิจเมกะเทรนด์ จำเป็นต่อโลก โตสวนเศรษฐกิจชะลอตัว
ในปี 2566 ช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารทิสโก้แนะนำให้มองหาการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าตลาดโดยรวม โดยควรเน้นลงทุนในกลุ่มที่สินค้าและบริการมีความต้องการในการใช้งานอยู่ในระดับสูงและเติบโตตาม Megatrends ของโลก ตลอดจนมีอำนาจในการปรับราคาสินค้าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ (Pricing Power) ซึ่งจะส่งผลให้รายได้และกำไรของธุรกิจไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่
1. กลุ่มหุ้นเฮลธ์แคร์ ที่ได้อานิสงค์จากสังคมผู้สูงอายุและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า
2.กลุ่มเทคโนโลยีที่มีรายได้ประจำ(Recurring income) จากค่าสมาชิก (Subscription) ของลูกค้าที่ใช้ประจำและยังมีแนวโน้มขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้งาน เช่น คลาวด์ (Cloud Computing) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่เป็นรากฐานสำคัญของภาคธุรกิจตามเทรนด์ของ Digital Tranformation
และ 3.โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ที่เป็นสินค้ามีความจำเป็นและมีความต้องการสูง โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะขาดแคลนพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้แต่ละประเทศพยายามลดการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมเพื่อเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจเข้าสู่การเป็น Net Zero Carbon
3. High Stability Asset สร้างกำไรไม่หวั่นปัจจัยลบ
แนะนำให้ลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงในปี 2566 และมีโอกาสได้รับกำไรจากราคาพันธบัตรที่ปรับขึ้น รวมถึงทองคำที่มักจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับสูง และสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับพอร์ตได้
สำหรับนักลงทุนที่สนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวโหลดบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่ https://link.tisco.co.th/1YnPex