กองทุน Thai ESG เหมาะกับใคร
สำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี : กองทุน Thai ESG เป็นหนึ่งในมาตรการภาครัฐที่ส่งเสริมให้ประชาชนนำเงินมาลงทุนในระยะยาวโดยเน้นถึงความยั่งยืนเป็นหลัก โดยมีการปรับปรุงขยายวงเงิน จาก 100,000 บาทต่อปี เป็น 300,000 บาทต่อปีบาทต่อปีภาษี โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 30% ของรายได้แต่ละปี และปรับลดระยะเวลาการถือครองจาก 8 ปีเหลือเพียง 5 ปีนอกจากนี้ยอดเงินลงทุน Thai ESG จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ ได้แก่ SSF, RMF, PVD, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และ กองทุนการออมแห่งชาติ และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ทำให้ได้ประโยชน์จากการออมเต็มเม็ดเต็มหน่วย
นอกจากนี้หากนำเรื่องประโยชน์ที่ได้จากการลดหย่อนภาษีมารวมเข้าไป ยิ่งเกิดความคุ้มค่าโดยเฉพาะกับผู้มีรายได้มากที่ต้องเสียภาษีในอัตราสูง อย่างในช่วง 25-35% ยกตัวอย่างเช่น หากเสียภาษีฐาน 25%เหมือนจะคิดเป็นผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ทบต้นถึง 5.92% ต่อปี และหากลองสมมติที่ฐานภาษี 35% จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้นถึง 9.00% ต่อปี และถ้าไปดูคนที่เสียภาษีน้อยอย่าง 10% ก็ยังให้ผลตอบแทนทบต้นที่ 2.13% ซึ่งยังเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ในปัจจุบัน
ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน : สำหรับผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโลกที่ดีขึ้น การลงทุนในกองทุน Thai ESG ก็เป็นการสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินงานตามหลักการ ESG ซึ่งธุรกิจที่ดำเนินงานตามหลัก ESG มักจะมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนทั่วโลก
แล้วปัจจุบันกองทุน Thai ESG ยังน่าลงทุนหรือไม่”
หากลองดูปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยในตอนนี้หากไม่รวมในช่วง Covid-19พบว่า
● Forward PE SET Index (as of 06 Aug 24) อยู่ ณ ระดับ 12.86 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี
● Dividend Yield อยู่ใกล้เคียง 4% เป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 10 ปี
● GDP ไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ชี้ เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องได้ในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดการณ์ GDP ปี 2567 ขยายตัว 2.8% และในปี 2568 ขยายตัว 3.0%
นอกจากปัจจัยสนับสนุนในด้านการท่องเที่ยว ยังมีงบการเบิกจ่ายภาครัฐปี 2567 ที่พึ่งสามารถนำมาใช้จ่ายได้อย่างเต็มที่ ในเดือน เม.ย ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเร่งอีกตัวนึงที่ส่งผลต่อการเติบโตในประเทศ
ภาพ Forward PE ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี (ไม่รวมช่วงโควิด ปี 2020)
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าการลงทุนในจุดนี้เป็นจุดน่าสนใจในการลงทุนหากเราเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตส่งผลให้กำไรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นได้ในระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้ ตามข้อกำหนดเงื่อนไขการลงทุนในกองทุน Thai ESG ที่ต้องถือครองขั้นต่ำ 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน และเมื่อไปรวมกับการลดหย่อนภาษี ยิ่งส่งผลให้ผลตอบแทนยิ่งเพิ่มสูงขึ้น และยิ่งทำให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนนี้
บทความโดย จตุรพร ระวิงทอง AFPT™ Wealth Manager ธนาคารทิสโก้