ทำไม“ตราสารหนี้ - เฮลธ์แคร์” ให้ผลตอบแทนสูง ? สวนทางตลาดหุ้นที่เสี่ยงปรับฐาน!

file

ภาวะเศรษฐกิจถดถอย กดดันให้ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน ในปี 2566 อย่างชัดเจนขึ้น!!! การเลือกกองทุนตราสารหนี้เพื่อช่วยล็อคผลตอบแทนระดับ4% และการลงทุนในกองทุนหุ้นเฮลธ์แคร์ ที่มีแนวโน้มโตกว่า 10%ในอีก10 ปี จะเพิ่มผลตอบแทนสวนทางกับภาวะตลาดโดยรวมได้!!!

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) ได้ให้ข้อมูลว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Resession) ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ของสหรัฐฯ ที่ใกล้ต่ำระดับ 50 สะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบจากเงินเฟ้อสูงที่กดดันการบริโภค รวมถึงผลของการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปีนี้ ทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่ดีนัก(1)

ดังนั้นจากผลดังกล่าว จึงทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ....

อย่างไรก็ตามแม้จะปรับฐานลงมามากกว่า 20% จากจุดสูงสุด แต่ Valuation ก็ยังถือว่าไม่ได้ถูกนัก เห็นได้จากค่า P/E ของดัชนี S&P 500 ในปัจจุบันอยู่ที่ราว 15 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในช่วงปี2003 - 2014 ที่ 14 เท่า

นอกจากนี้ หากเทียบกับจุดต่ำสุดของตลาดหมี (Bear Market) ในอดีตที่ P/E เฉลี่ย 13 เท่า ตลาดหุ้นก็อาจมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงได้อีก หากมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบ(2)

ด้วยภาวะเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นที่ไม่สดใส คุณวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนและสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) แนะนำให้ลงทุนใน 2 ธีมลงทุนดังนี้

Bond : ล็อคผลตอบแทนสูง-ทนทานต่อเศรษฐกิจถดถอย

“ในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยชัดเจนขึ้น การลงทุนในตราสารหนี้ตอนนี้ จะช่วยล็อคผลตอบแทนสูง และดีกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น” โดย คุณวรสินี มองว่า จังหวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) ปรับตัวขึ้นมาสูงที่ระดับกว่า 4% แบบนี้ การลงทุนใน “กองทุนตราสารหนี้” ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เครดิตเรตติ้งสูง เช่น A- ขึ้นไป และอายุตราสารหนี้ระยะปานกลางประมาณ 3-5 ปีขึ้นไป จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในช่วง 1 ปีข้างหน้า และกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนในภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ดี (3)

“จังหวะที่ยีลด์ของตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นมาแบบนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงกับการลงทุนหุ้นที่ยังมีแรงกดดันจากการปรับฐาน เพราะตอนนี้ถือว่าตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่มากพอ ดังนั้นการล็อคยิลด์ ด้วยการลงทุนในกองตราสารหนี้ จึงน่าสนใจมาก” คุณวรสินีกล่าว

Healthcare : แนวโน้มโตกว่า 10%ในอีก10 ปี

“Healthcare เป็นธุรกิจที่สามารถอยู่รอดได้ในหลายวิกฤต และยังมีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตสูง ในอีก10ปีข้างหน้า" เห็นได้จากหลายวิกฤตการที่ผ่านมา ทั้งในช่วงวิกฤตดอทคอม ซับไพร์ม โควิด-19 ฯลฯ ซึ่งธุรกิจ Healthcare สามารถสร้างผลประกอบการที่เป็นบวก หรือติดลบเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอื่นๆมีผลประกอบการในระดับที่ติดลบ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของผลประกอบการในกลุ่มHealthcare ช่วงที่เกิดวิกฤตต่างๆอยู่ในระดับที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น

ไม่เพียงเท่านี้ ในระยะ 10 ปี ข้างหน้า ยังมีการคาดการณ์ ด้วยว่าผลประกอบการธุรกิจ Healthcareจะสามารถเติบโตได้ 10.22% สูงกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆอย่างมาก

file

Source : Bloomberg, TISCO Economic Strategy Unit (ESU)

หากคุณสนใจกองทุนรวม ที่มีนโยบายการลงทุนในแบบที่เราแนะนำ สามารถคลิกลิงก์ด้านล่าง เพื่อติดตามรายละเอียดกองทุนรวมที่เราคัดสรร หรือสามารถกรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ

=======================

คุณวรสินี เศรษฐบุตร

ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนและสื่อสารการตลาด

สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)

=======================

ที่มา

1. “สู้ Recession ด้วย Bond สร้างผลตอบแทนชนะหุ้น” TISCO Advisory Live , พ.ย. 65

2. “ทิสโก้คาด ปี 66 ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนชนะหุ้น” Press Release , พ.ย. 65

3. “ธ.ทิสโก้เชียร์ ซื้อ! กองทุนตราสารหนี้-หุ้นเฮลธ์แคร์ รับกำไรพุ่ง ปี 2566” Press Release , พ.ย. 65

======================

file

บทความล่าสุด

ปรับพอร์ตอย่างไรในช่วงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว 

โพสต์เมื่อ 27 กรกฎาคม 2567

การปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นด้วย โดยมีวิธีปรับตามการวิเคราะห์วงจรเศรษฐกิจ 4 ช่วง

อ่านต่อ >>

ถึงเวลาเพิ่มน้ำหนักหุ้น รับเศรษฐกิจฟื้นตัว

โพสต์เมื่อ 27 กรกฎาคม 2567

เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัว ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายเริ่มกลับทิศเป็นขาลงภายใต้สถานการณ์นี้ เป็นช่วงที่เหมาะกับการลงทุนใน “หุ้น” ที่สุด

อ่านต่อ >>

3 กลยุทธ์ปรับพอร์ต ก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ

โพสต์เมื่อ 27 กรกฎาคม 2567

ปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการเลือกตั้งสหรัฐฯที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. นี้ ซึ่งจะเป็นการ Rematch ระหว่าง Donald Trump กับ Joe Biden และถือเป็นอีกครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯนับตั้งแต่ปี 1956 ที่ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งคู่ต่างเป็น “อดีตประธานาธิบดี”

อ่านต่อ >>