Fed ผ่อนเกียร์ขึ้นดอกเบี้ย ถึงเวลาหุ้น Growth กลับมา

file

ปี 2022 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง ทำให้ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นส่วนใหญ่ให้ผลเป็นลบ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Growth) แต่ปีนี้แรงกดดันดังกล่าวเริ่มลดลง ทำให้หุ้นกลุ่ม Growth กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง

หุ้นกลุ่ม Growth เป็นกลุ่มหุ้นที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น โดยเฉลี่ยจะเติบโตอย่างน้อย 20% ต่อปี และมักจะซื้อขายบนระดับราคาที่ค่อนข้างสูงจากความคาดหวังการเติบโตสูงในอนาคต ในช่วงปีที่ผ่านมา หุ้น Growth ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Information Technology) และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) ถูกเทขายจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็ว กดดันมูลค่าหุ้นกลุ่ม Growth ให้ปรับตัวลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าของหุ้น ยิ่งอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น อัตราคิดลดก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นด้วย และเมื่อคิดย้อนกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบันของหุ้นก็จะทำให้หุ้นมีมูลค่าลดลง โดยปีที่ผ่านมา ดัชนี MSCI World Growth index ปรับตัวลงมากถึง 29% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่รุนแรงที่สุดในรอบ 13 ปี

อย่างไรก็ตาม ภาพแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ต่างกับปีที่ผ่านมา จากการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีที่แล้วเป็นการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ โดยล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง 25 bps และมีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 2 ครั้งการประชุม (เดือน มี.ค. และ พ.ค.) ในอัตรา 25 bps ก่อนจะหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้เป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงในระดับที่น่าพอใจ

เมื่อปัจจัยที่เคยกดดันหุ้น Growth อย่างหนักเริ่มเปลี่ยนทิศ ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจสำหรับหุ้นกลุ่ม Growth โดยสังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เป็นตัวสะท้อนการคาดการณ์ต่อการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเริ่มย่อตัวลง พร้อมกับหุ้นกลุ่ม Growth ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ปีที่แล้วในช่วงที่ Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำกว่า 2% ในช่วงต้นปี จนทะลุระดับ 4% ในปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ หากพิจารณาในแง่ Valuation จะพบว่า หุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Msci World Growth Index) ปรับตัวลงจาก Forward P/E (12 เดือนข้างหน้า +2S.D.) ราว 45 เท่าในปี 2020 มาอยู่ที่ 27 เท่า ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ย 10 ปีของกลุ่มและถือว่าเป็นระดับราคาที่น่าสนใจสำหรับหุ้นกลุ่ม Growth

หุ้นกลุ่ม Growth แม้จะมีความผันผวนค่อนข้างสูงกว่าหุ้นทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว โดยเฉพาะหากเลือกลงทุนได้ถูกตัวและถูกจังหวะเวลา และปีนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะทยอยสะสมหุ้นกลุ่มนี้หลังจากผ่านการปรับตัวลงอย่างหนักในปีที่แล้ว

แผนภาพที่ 1 : การเคลื่อนไหวของ MSCI World Growth Index และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี

file

ที่มา : TISCO Advisory , Bloomberg

 

======================

 

บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPTTM Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ Financial Planning ของกรุงเทพธุรกิจ

บทความล่าสุด

หุ้นกลุ่ม Healthcare ทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีหุ้นโลก

โพสต์เมื่อ 25 เมษายน 2567

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะสูงกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare จะกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีตลาดหุ้นโลก

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตสร้างกำไร ขายหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เบนเข็มลงทุน “หุ้น Asia ex Japan”

โพสต์เมื่อ 25 เมษายน 2567

ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตดีกว่าคาด โดยภูมิภาคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และยังเป็นปีแห่งโอกาส

อ่านต่อ >>

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 25 เมษายน 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>