เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าโหมด “ถดถอย” แล้ว ธ.ทิสโก้ชี้ จังหวะทองช้อนซื้อของดีราคาถูก หุ้นเทคฯสหรัฐ - จีน และหุ้นเติบโตสูง

file

 

ธนาคารทิสโก้เผยเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคตามคาด หลังตัวเลข GDP ติดลบสองไตรมาส ชี้เป็นจังหวะเหมาะเข้าซื้อหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง ราคาลงแรง  3 กลุ่ม คือ 1. หุ้นเทคโนโลยี อย่างคลาวนด์ ไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ และเซมิคอนดักเตอร์ 2. หุ้นกลุ่มเติบโตสูงในช่วง 5 - 10 ปีข้างหน้า ที่จะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมต่างๆ และ 3. หุ้นเทคโนโลยีจีน

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (US Technical Recession) ตามคาด หลังตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยไตรมาส 1/2565 ติดลบ 1.6% และไตรมาส 2/2565 ติดลบ 0.9% ท่ามกลางธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยระดับสูง 0.75% ต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี ซึ่งศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่า สิ้นปี 2565 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 3.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.25 - 2.50%

สำหรับตลาดหุ้นนั้น หากวัดจากอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ของดัชนี S&P 500 ที่ปรับลดลงมาแล้วถึง -28% จากต้นปีนั้น ธนาคารทิสโก้มองว่า มูลค่าหุ้น (Valuation) ในปัจจุบันน่าจะรับข่าวภาวะเศรษฐกิจถดถอย และนโยบายการเงินที่ตึงตัวไปมากแล้ว เหลือเพียงแต่การปรับลดคาดการณ์กำไรที่จะกดดันให้ตลาดหุ้นเป็นขาลง ดังนั้น จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในรอบหลายปีที่จะหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นที่กำไรยังคงเติบโตแม้เศรษฐกิจจะถดถอยและมูลค่าเหมาะสม เช่น กลุ่มเทคโนโลยีอย่าง และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน รวมไปถึงหุ้นกลุ่มหุ้นเติบโตทั่วโลก  

นายณัฐกฤติกล่าวอีกว่า สาเหตุที่ธนาคารทิสโก้กลับมาแนะนำหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing , Cyber Security และ Semiconductor เพราะ 1. แรงกดดันในด้านต้นทุนทางการเงินของกลุ่มเทคโนโลยีลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว อีกทั้งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะเริ่มชะลอตัวลงในทิศทางเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวลดลงตามตัวเลขเศรษฐกิจด้วย   

2. ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อยู่ในดัชนี NASDAQ ได้ปรับตัวลดลงถึง 32% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงจากจุดสูงสุดมากที่สุดในรอบ 10 ปี และราคาหุ้นเทียบกับคาดการณ์กำไรใน 12 เดือนข้างหน้า (Fwd P/E) ก็ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปีแล้วที่ 23 เท่า จึงเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี แต่ก็ต้องคัดเลือกกลุ่มหุ้นที่อยู่รอดได้ในระยะยาวโดยอาศัยศักยภาพการเติบโตในอนาคตของทั้งรายได้และกำไรเป็นสำคัญ

3. ธุรกิจ Cloud Computing , Cyber Security และ Semiconductor เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญต่อชีวิตประจำวัน และยังมีอัตราการเติบโตของยอดขายที่น่าสนใจ โดยคาดการณ์ยอดขายของกลุ่ม Cloud Computing ปี 2565 จะเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ยอดขาย Cyber Security เติบโต 28% YoY และ Semiconductor จะเติบโต 13.7% YoY (ที่มา : Global X, International Data Corporation สืบค้น ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2565) ขณะที่ยอดขายของบริษัทที่อยู่ในดัชนี Nasdaq โดยเฉลี่ยขยายตัวเพียง 7% YoY

สำหรับเหตุผลที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีนด้วยนั้น เพราะ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนที่ปรับตัวรับข่าวร้ายหลังรัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแลการทำธุรกิจเพื่อให้การแข่งขันทางธุรกิจเป็นไปอย่างยุติธรรม จนราคาหุ้นในช่วง 1 ปีปรับลงมามากกว่า 43% และมูลค่า Fwd PE Premium ของดัชนี MSCI China Information Technology ลดลงเหลือ 1.18 เท่าเมื่อเทียบกับดัชนี CSI 300 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่เคยอยู่ระดับ 2.13 เท่า ขณะที่การเติบโตในระยะยาวยังมีศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจกับแผนการเติบโตของจีนที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตไปยังระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เน้นนวัตกรรมและภาคบริการ

นายณัฐกฤติกล่าวอีกว่า นอกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ธนาคารทิสโก้ยังแนะนำให้ทยอยเข้าซื้อหุ้นเติบโตทั่วโลกที่มีโอกาสขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ ในช่วง 5 - 10 ปีข้างหน้า (Long Term Global Growth)  และกลุ่มที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม (Positive Impact) ได้แก่ ด้านสังคมและการศึกษา ด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้านการดูแลสุขภาพ ที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเฉลี่ยราว 30 - 40% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องและยอดขายยังคงเติบโตได้เฉลี่ยประมาณ 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา

บทความล่าสุด

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>

Asia ex Japan หุ้นไม่แพง โตแรงแซงเศรษฐกิจโลก

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

ท่ามกลางตลาดหุ้นหลักของโลก เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น New High ต่อเนื่องจนมูลค่าเริ่มตึงตัว แต่หุ้นกลุ่มประเทศเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น ยังมีมูลค่าการซื้อขายยังอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

อ่านต่อ >>

ปีทองตลาดหุ้นเวียดนาม Country winner ปี 2024

โพสต์เมื่อ 29 มีนาคม 2567

เข้าสู่โค้งสุดท้ายของไตรมาส 1 ปี 2024 ตลาดหุ้นหลายแห่งทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย ยังเดินหน้าทำ New high อย่างต่อเนื่อง ทำให้การเข้าลงทุนในระดับราคาปัจจุบันเริ่มมีความเสี่ยง (Downside risk) ที่สูงขึ้นจาก Valuation ที่เริ่มตึงตัว

อ่านต่อ >>