จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1711511312017

1710216563017

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก ไม่ว่าจะเป็น เซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเครื่องจักรอุตสาหกรรม ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลก มักจะมีผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นเอเชีย

ปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกมีโอกาสกลับมาเข้าสู่โหมดฟื้นตัว (Recovery) อีกครั้ง โดยดัชนีที่เป็น “Leading indicator” ในการบอกแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าก็คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวม (Global Composite Purchasing Manager Index) ซึ่งเป็นสำรวจแนวโน้มคำสั่งซื้อของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการทั่วโลก หากดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ระดับเกิน 50 จุด มักจะบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจกำลังขยายตัว นอกจากนี้ หากดัชนีมีการเร่งตัวขึ้นเกินระดับ 50 จุดอย่างต่อเนื่องในแต่ละเดือน ก็จะยิ่งถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าได้เป็นอย่างดี

ย้อนกลับไปในอดีต 10 ปีที่ผ่านมา ในช่วงที่ดัชนี Global Composite PMI ขยายตัวและมีการเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มักจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเอเชียสามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะ (Outperform) ตลาดหุ้นโลกได้ ยกตัวอย่างเช่น ช่วงปี 2016-2017 ซึ่งเศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัวจากวิกฤตราคาน้ำมันและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น 47% ชนะตลาดหุ้นโลกที่เพิ่มขึ้นราว 31% หรือ ในช่วงปลายปี 2020 ที่เริ่มมีการเปิดเมือง หลังจากที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับวิกฤต COVID-19 ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น 60% มากกว่าตลาดหุ้นโลกที่เพิ่มขึ้นประมาณ 47% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ล่าสุด ดัชนี Global Composite PMI เริ่มส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจโลกกำลังกลับมาเข้าสู่โหมดฟื้นตัว (Recovery) อีกครั้ง โดยยืนอยู่เหนือระดับ 50 จุด อีกทั้งยังมีการเร่งตัวขึ้น 5 เดือนติดต่อกันจาก 50 จุดในเดือน ต.ค. ปี 2023 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 52.1 จุดในเดือน ก.พ. 2024 ซึ่งหากแนวโน้มดังกล่าวยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นี่อาจเป็นสัญญาณขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้นเอเชีย

นอกจากนี้ ในปี 2024 ที่นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ทั่วโลกต่างมีมุมมองที่สอดคล้องกันว่า จะเป็นปีแห่งการ “ลดดอกเบี้ย” เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นตลอดสองปีที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลงกลับมาใกล้เคียงกับเป้าหมายของธนาคารกลางทั่วโลกแล้ว ส่งผลให้แบงค์ชาติทั่วโลก นำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง

จากสถิติย้อนหลังไปจนถึงปี 1989 พบว่า หลังจากที่ Fed เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้นเอเชียมักจะปรับตัวขึ้นได้มากกว่า (Outperform) ตลาดหุ้นโลก โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 12 เดือนที่สูงถึง 19% เปรียบเทียบกับ ตลาดหุ้นโลก ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลาเดียวกันเพียงแค่ 9% สะท้อนให้เห็นว่า หุ้นเอเชียเป็นตัวเลือกในการเข้าลงทุนที่ดีกว่าตลาดหุ้นโลก ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยของโลกเข้าสู่วัฏจักรขาลง

ในแง่มุมของ Valuation ตลาดหุ้นเอเชียยังคงซื้อขายบน Forward PE เพียงแค่ 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวและเป็นระดับ PE ที่ “Discount” ตลาดหุ้นโลกมากถึง 30% ซึ่งเป็นการ Discount ที่ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤต COVID-19 ปี 2020 ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นเอเชียยังมีความน่าสนใจจากการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่โดดเด่นกว่าตลาดหุ้นโลก อ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ที่มีการคาดการณ์ว่า การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของตลาดหุ้นเอเชียในปีนี้จะสูงถึง +18% YoY ซึ่งมากกว่า EPS Growth ของตลาดหุ้นโลกซึ่งอยู่ที่เพียงแค่ +6% YoY เท่านั้น

การลงทุนในรูปแบบของ “กลุ่มประเทศ” อย่างตลาดหุ้นเอเชีย จึงถือเป็นทั้งการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกหุ้นลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตามสภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศและอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน อาจเป็นงานที่ไม่ง่ายนักสำหรับนักลงทุน จึงต้องอาศัยกลยุทธ์การลงทุนแบบ “Active management” ในการบริหาร ดังนั้น กองทุนรวมประเภท Active Fund จึงถือเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมกับการลงทุน เพื่อคว้าโอกาสทำกำไรจากขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้นเอเชีย

 

บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™

Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

บทความล่าสุด

ลงทุน Global Bond ให้ดี ปีนี้ต้องเลือก Bond ระยะกลาง-สั้น

เปิดปี 2568 ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ รวมถึงประเทศหลักส่วนใหญ่ยังเป็นทิศทางขาลง ช่วงนี้จึงนับเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนตราสารหนี้โลก แต่ต้องเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-สั้น เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปีนี้

อ่านต่อ >>

ฝ่ากระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง สู่โอกาสในปี 2025

ท่ามกลางการกลับมาของนโยบาย Trump 2.0 ปี 2025 ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับนักลงทุน โดยนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศไว้ระหว่างการหาเสียงที่โดยเน้นไปที่การลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นภาษีนำเข้า อาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดในสงครามการค้า ขณะเดียวกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2024 ยังคงส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินในวงกว้าง

อ่านต่อ >>

ความเข้าใจผิดกับ Copayment ของประกันสุขภาพ

หลังจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกหลักเกณฑ์สำหรับเพิ่มเงื่อนไขความคุ้มครองประกันสุขภาพให้มีเกณฑ์การจ่ายสินไหมที่กำหนดค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) หรือ ผู้ถือประกันสุขภาพต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลกับบริษัทประกันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ พร้อมกับการประกาศแนวทางยกเลิกประกันสุขภาพเหมาจ่ายจากสมาคมประกันวินาศภัยและสมาคมประกันชีวิต ซึ่งข่าวข้างต้นอาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ที่สนใจซื้อประกันสุขภาพหรือมีประกันสุขภาพอยู่แล้วว่าความคุ้มครองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก อีกทั้งยังอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้ทำประกันสุขภาพในระยะยาวด้วย

อ่านต่อ >>

ลงทุน Global Bond ให้ดี ปีนี้ต้องเลือก Bond ระยะกลาง-สั้น

เปิดปี 2568 ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ รวมถึงประเทศหลักส่วนใหญ่ยังเป็นทิศทางขาลง ช่วงนี้จึงนับเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนตราสารหนี้โลก แต่ต้องเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-สั้น เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปีนี้

อ่านต่อ >>

ฝ่ากระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง สู่โอกาสในปี 2025

ท่ามกลางการกลับมาของนโยบาย Trump 2.0 ปี 2025 ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับนักลงทุน โดยนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศไว้ระหว่างการหาเสียงที่โดยเน้นไปที่การลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นภาษีนำเข้า อาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดในสงครามการค้า ขณะเดียวกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2024 ยังคงส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินในวงกว้าง

อ่านต่อ >>

ความเข้าใจผิดกับ Copayment ของประกันสุขภาพ

หลังจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกหลักเกณฑ์สำหรับเพิ่มเงื่อนไขความคุ้มครองประกันสุขภาพให้มีเกณฑ์การจ่ายสินไหมที่กำหนดค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) หรือ ผู้ถือประกันสุขภาพต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลกับบริษัทประกันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ พร้อมกับการประกาศแนวทางยกเลิกประกันสุขภาพเหมาจ่ายจากสมาคมประกันวินาศภัยและสมาคมประกันชีวิต ซึ่งข่าวข้างต้นอาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ที่สนใจซื้อประกันสุขภาพหรือมีประกันสุขภาพอยู่แล้วว่าความคุ้มครองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก อีกทั้งยังอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้ทำประกันสุขภาพในระยะยาวด้วย

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า