
ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ บรรลุดีลการค้าครั้งใหญ่ ทำให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศจะเรียกเก็บจากสินค้าญี่ปุ่นในอัตราสูงได้รับการปรับลดลงเหลือ 15% ช่วยลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น และถือเป็นการปลดล็อคตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะถัดไป
การเจรจาครั้งล่าสุดระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมานำไปสู่การปรับลดอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บจากสินค้าญี่ปุ่นจากเดิมในอัตรา 25% เป็น 15% โดยจะมีผลในวันที่ 1 ส.ค.นี้ การปรับลดอัตราภาษีนี้ครอบคลุมในทุกหมวดหมู่สินค้ารวมถึงสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของญี่ปุ่น โดยก่อนหน้านี้สหรัฐฯประกาศจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับการนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25% รวมกับภาษีฐาน (Base Tariff) ที่ 2.5% ทำให้อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ในสหรัฐฯจะอยู่ที่ 27.5% แต่สืบเนื่องจากข้อตกลงล่าสุดของสหรัฐ-ญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นได้รับการปรับลดภาษีตอบโต้สำหรับกลุ่มยานยนต์ลงไปครึ่งหนึ่งจาก 25% เป็น 12.5% เมื่อรวมกับภาษีฐาน 2.5% จึงทำให้ภาษีกลุ่มยานยนต์จากญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 15% เท่าสินค้ากลุ่มอื่น และอยู่ในอัตราต่ำกว่ายานยนต์จากประเทศอื่น
การปรับลดอัตราภาษีโดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ถือเป็นการลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเนื่องจากรายได้จากภาคการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนราว 22% หรือกว่า 1 ใน 5 ของ GDP ญี่ปุ่น (ข้อมูลจากปี 2023) และหากพิจารณาเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2024 มูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มยานยนต์คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทรถยนต์ในญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางการปรับขึ้นค่าจ้างในประเทศ โดยเป็นกลไกหลักในการจัดประชุมShunto ซึ่งเป็นการเจรจาค่าจ้างประจำปีของสหภาพแรงงานในญี่ปุ่นกับนายจ้างที่จะมีผลต่อค่าจ้างโดยรวมในญี่ปุ่น ผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าคาดการณ์เดิมจากการได้รับการปรับลดภาษีจะช่วยให้โอกาสในการปรับขึ้นค่าจ้างในญี่ปุ่นมีความต่อเนื่อง นำไปสู่การกระตุ้นการบริโภคและการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่น
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นรับข่าวดีลการค้าในครั้งนี้ โดยดัชนี NIKKEI 225 ปรับตัวขึ้นกว่า +5% ภายใน 2 วันหลังประกาศดีล และด้วยระดับ Fwd P/E ปัจจุบันที่ 19.74 เท่า พบว่าหุ้นญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งถือว่าไม่แพง และหากเทียบกับดัชนีหุ้นในกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Market) เช่นเดียวกับญี่ปุ่น เช่น ดัชนี S&P500 จากสหรัฐฯ พบว่า S&P500 มี Fwd P/E 22.44 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี และแพงกว่าหุ้นญี่ปุ่น
การบรรลุดีลการค้าครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ซื้อขายในกรอบแคบนับตั้งแต่การประกาศภาษี Reciprocal Tariff ในอัตราสูงจากสหรัฐฯ เมื่อเดือนเม.ย. และคาดว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ระดับราคาหุ้นยังไม่แพงจะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องในระยะถัดไป การทยอยสะสมหุ้นญี่ปุ่นจะสามารถช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อพอร์ทลงทุนได้ในะระยะยาว
แผนภาพ : Fwd P/E ดัชนี NIKKEI225 และ S&P500

Source : Bloomberg, TISCO Wealth Advisory
บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT™
Wealth Manager ธนาคารทิสโก้