หากเอ่ยถึงการวางแผนทางการเงิน สิ่งแรกที่ทุกท่านนึกถึง คงเป็นเรื่องของการลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง แต่แท้จริงแล้ว หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญและขาดไม่ได้เช่นกัน ก็คือ การวางแผนประกัน (Insurance Planning) ที่จะเข้ามามีบทบาทในด้านการรักษาความมั่งคั่งของทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวิธีจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างสูงในการช่วยลดหรือบรรเทาความสูญเสีย ทั้งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การเจ็บป่วย และการบาดเจ็บ เป็นต้น
ประกอบกับเมื่ออายุที่เพิ่มขึ้น ร่างกายจากที่เคยแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ก็อาจกลับกลายเป็นป่วยหนัก และสุขภาพอาจไม่สมบูรณ์แข็งแรงเท่ากับวัยหนุ่มสาว และด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่เชื้อไวรัสมีการแพร่ระบาด ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่อาจเจ็บป่วยได้ ดังนั้น การวางแผนประกันจึงยิ่งมีความสำคัญที่จะเข้ามาช่วยปิดความเสี่ยงเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายการวางแผนการเงินที่ตั้งไว้ได้
โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่เข้าสู่ช่วงวัยทำงานตอนปลายจนถึงก่อนเกษียณอายุ หรือมีอายุประมาณ 45 – 59 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีภาระต่างๆ เริ่มลดลง หนี้บ้าน หนี้รถเริ่มหมดไป ลูกเรียนจบ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ รายได้มีความมั่นคงมากขึ้น แต่เป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มเสื่อมถอยลง และเริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพที่ตามมา โดยประกันที่เหมาะกับคนวัยนี้ ควรเน้นที่ความคุ้มครองและเงินที่จะได้รับหลังเกษียณ อาจประกอบไปด้วยประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง และประกันบำนาญ
สำหรับประกันสุขภาพ เป็นประกันที่ทุกคน ทุกช่วง และทุกวัยควรมี เนื่องจากแต่ละช่วงวัยล้วนมีความจำเป็นในการใช้ประกันสุขภาพทั้งสิ้น แน่นอนว่ายิ่งมีอายุที่มากขึ้น อาจจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์มากขึ้น นอกเหนือจากการพิจารณาค่าเบี้ยประกัน ค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา สำหรับทั้งผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) แล้ว ควรเลือกแบบประกันที่ไม่ปฏิเสธเรื่องของการต่ออายุประกัน เพราะอายุที่มากขึ้น อาจส่งผลต่อการต่ออายุประกันในอนาคตได้ จึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
ถัดมา ประกันโรคร้ายแรง เป็นอีกหนึ่งประกันที่มีความสำคัญของคนในวัยนี้ โดยมีข้อมูลจาก Cancer Hospital Wattanosoth ระบุว่า โรคมะเร็งสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยส่วนใหญ่จะพบในอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป สำหรับการพิจารณาเลือกซื้อประกันโรคร้ายแรงนั้น ควรซื้อแบบประกันที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ระยะแรกและทุกระยะในจำนวนที่สูง รวมถึงมีการจ่ายเคลมประกันเป็นเงินก้อน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ เช่น การ Stroke หรือเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง จะได้มีเงินก้อนไว้ใช้สำหรับการปรับคุณภาพชีวิต หรือนำไปรักษาในส่วนที่ประกันสุขภาพอาจจะไม่ได้ครอบคลุม นอกจากนี้หากในกรณีที่มีประกันสุขภาพแล้ว แนะนำให้นำประกันสุขภาพไปใช้ในการรักษาพยาบาล ส่วนเงินก้อนที่ได้รับจากโรคร้ายแรง สามารถนำไปใช้สำหรับความจำเป็นอื่นๆ ได้
อย่างไรก็ดี การทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง ควรคิดไปถึงช่วงเกษียณอายุด้วยว่า ต้องเตรียมเงินไว้จ่ายค่าเบี้ยประกันจำนวนเท่าไหร่ จะได้มีการวางแผนเก็บเงินให้เพียงพอสำหรับการจ่ายค่าเบี้ยประกัน โดยไม่ส่งผลกระทบกับแผนทางการเงินโดยรวม
สุดท้าย ประกันบำนาญ ที่เปรียบเสมือนแหล่งเงินได้ยามเกษียณ อาจคำนวณว่า หลังเกษียณอยากได้เงินเดือนละเท่าไหร่ โดยปัจจุบันแบบของเงินรับบำนาญมีให้เลือกหลากหลาย เช่น แบบเงินรับบำนาญทุกปี ปีละ 15%/ 24%/ 36% ของจำนวนเงินเอาประกัน ซึ่งควรเลือกแบบประกันที่มีผลประโยชน์ในขณะดำรงชีวิต (Living Benefits) หรือประกันที่คุ้มครองในขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่ในจำนวนที่สูง เนื่องจากความจริงแล้ว เราอาจจะมีเงินเก็บอยู่เพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเงินที่เราเก็บไว้นั้น จะเพียงพอในการใช้จ่ายหลังเกษียณหรือไม่ หากเงินที่ต้องการใช้หมดก่อนในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่อาจเป็นปัญหาใหญ่ที่ตามมาได้ ประกันบำนาญจึงเข้ามาตอบโจทย์ โดยการสร้างหลักประกันให้ชีวิตยามเกษียณมีความมั่นคงมากขึ้น
การมีประกันสำหรับคนวัยทำงานตอนปลายที่ต้องเตรียมพร้อมก่อนเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง และประกันบำนาญ ล้วนแล้วแต่เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินทั้งสิ้น รวมถึงเป็นการวางแผนทางการเงินที่ดี เพราะเวลาเราเจ็บป่วยหรือไม่สบาย ประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง ก็จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับเรา รวมถึงการมีประกันบำนาญก็ทำให้อุ่นใจในการใช้ชีวิตหลังเกษียณมากขึ้น
===================================
เผยแพร่ครั้งแรกที่คอลัมน์ Money Talk ใน Business Today