ประกันบำนาญ อาวุธลับวางแผนภาษี เสริมความมั่งคั่งยามเกษียณ

file

หากพูดถึงการวางแผนทางการเงินนั้นจะประกอบไปด้วยการวางแผนประกันภัย การวางแผนภาษี การวางแผนลงทุน การวางแผนเกษียณ และการวางแผนมรดก ซึ่งจะขาดแผนใดแผนหนึ่งไปไม่ได้ เพราะทุกแผนล้วนมีความสำคัญและต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่แตกต่างกัน เพื่อให้ตรงตามเป้าหมายของแผนนั้นให้มากที่สุด 

จากผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน จากครัวเรือนตัวอย่างทุกจังหวัดทั่วประเทศทั้งในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาล จำนวน 13,992 ครัวเรือนเมื่อไตรมาส 4/2563  พบว่า 25.9% ของครัวเรือนไทยไม่มีเงินออม และเมื่อพิจารณาถึงวิธีการออมพบว่า คนไทย 34.0% นำเงินไปใช้จ่ายก่อนออม, 40.2% มีพฤติกรรมการออมที่ไม่แน่นอน โดยมีเพียง 20.1% ที่มีพฤติกรรมออมก่อนใช้ ขณะที่อีก 5.7% ไม่สนใจเรื่องการออม ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจจะประสบปัญหาเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ ทำให้เราควรให้ความสำคัญกับการวางแผนเกษียณให้มากขึ้น

แผนภาพที่ 1: ร้อยละของการจัดสรรเงินออมของครัวเรือน 

file

ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ

เกษียณต้องมีเงินเท่าไรถึงพอ

ในการวางแผนเกษียณมีหลักสำคัญที่เราต้องคำนึงถึง คือ จะทำอย่างไรให้มีเงินใช้เพียงพอในการดำรงชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งเป็นช่วงที่เราไม่มีรายได้ และหากนึกถึงค่าใช้จ่ายหลังเกษียณอายุนั้น แต่ละคนอาจมีความต้องการไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งมีความต้องการตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนต่อเดือน หรือถ้าเรายังนึกไม่ออกว่าควรจะมีค่าใช้จ่ายหลังเกษียณอายุเท่าไหร่ สามารถคำนวณได้จากสูตร 50-70% ของรายจ่ายในปัจจุบัน

มาถึงตรงนี้ ทุกคนน่าจะพอจะทราบกันแล้วว่า จะใช้เงินหลังเกษียณเดือนละเท่าไหร่ ต่อไปเราจะมาทำความรู้จักผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถสนับสนุนเป้าหมายในการเกษียณอายุ ซึ่งประกอบไปด้วย ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนเพื่อการออม (SSF) และประกันบำนาญ จากที่กล่าวมานั้นมีทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยในส่วนใหญ่ของภาคบังคับนั้นจะได้เงินคืนหลังเกษียณต่อเดือนเพียงหลักพันเท่านั้น เช่น ประกันสังคม จะได้เงินบำนาญราว 3,000 - 7,500 บาทต่อเดือน ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณในอนาคต

ส่วนสินทรัพย์การลงทุนอื่นๆ เช่น RMF SSF หรือแม้แต่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะจ่ายเป็นเงินก้อนให้ผู้ลงทุน โดยขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ออมได้มูลค่าที่ไม่แน่นอนหรือมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตหลังเกษียณ และยังไม่ตอบโจทย์กับค่าใช้จ่ายที่เราต้องใช้หลังเกษียณ ซึ่งเราต้องการรายรับในจำนวนที่แน่นอนเป็นรายเดือนในอนาคต เพราะฉะนั้นประกันบำนาญจึงเป็นทางเลือกที่สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอหลังเกษียณในหลักหมื่นหรือหลักแสนให้เราได้

ประกันบำนาญคืออะไร?

ประกันชีวิตรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเน้นผลตอบแทนมากกว่าความคุ้มครอง โดยจะทยอยจ่ายคืนให้เป็น “เงินบำนาญ” ในจำนวนเท่าๆ กันต่อเดือนหรือปี ตั้งแต่เริ่มเกษียณ อายุ 55 หรือ 60 ปี ไปจนถึง อายุ 85 หรือ 90 ปี แล้วแต่แผน โดยเราต้องจ่ายเบี้ยตั้งแต่เริ่มทำประกัน ไปจนถึงปีสุดท้ายก่อนถึงอายุเกษียณ หรืออาจจะจ่ายเบี้ยตามระยะเวลาที่แบบประกันกำหนด เช่น 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี แล้วแต่แบบประกันของแต่ละบริษัท นอกจากนี้ประกันบำนาญยังมีจุดเด่นในอีกหลากหลายแง่มุม ได้แก่

  • การได้รับกระแสเงินสดรับที่ชัดเจน ในการใช้ชีวิตหลังเกษียณกระแสเงินสดรับถือเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต โดยแบบประกันบำนาญจะมีการจ่ายเงินคืนหลังจากอายุ 55 ปี จนถึง 85-99 ปี (ปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่อายุราว 80 ปี แต่ด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ก้าวหน้า เราอาจจะต้องเผื่อถึงการมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้นในอนาคต) จึงตอบโจทย์เป้าหมายในการวางแผนหลังเกษียณ

  • ความเสี่ยงต่ำ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของประกันบำนาญที่เป็นลักษณะของประกันสะสมทรัพย์ เน้นเรื่องเงินคืนและไม่ผันผวนไปตามราคาตลาดหรือภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ

  • ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก ต้องยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดสภาวะถดถอย และในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำ 0.5% และน่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไปอีกเป็นปี ส่งผลกระทบโดยตรงกับอัตราดอกเบี้ยรับของผู้บริโภค ดังนั้นประกันบำนาญจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และอาจสูงถึงเกือบ 3% ต่อปี ในบางแบบประกัน ซึ่งหาได้ยากสำหรับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยขึ้นอยู่กับอายุและเพศ นอกจากนี้ผลตอบแทนเพิ่มเติมที่ได้รับ คือ การที่ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย 

  • ตัวช่วยประหยัดภาษี ในช่วงปลายปีประกันบำนาญถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการวางแผนภาษี เพราะช่วยลดหย่อนภาษีสูงถึง 200,000 บาท และอาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 300,000 บาท (หากยังไม่ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีประกันชีวิตวงเงิน 100,000 บาท) โดยต้องรวมกับ RMF SSF และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องไม่เกิน 500,000 บาท

แล้วใครที่เหมาะสมกับประกันบำนาญ และประกันบำนาญควรจะซื้อตอนไหนดี?

ใครเหมาะสมกับประกันบำนาญ?

  • ในความคิดเห็นของผู้เขียนเชื่อว่า ทุกคนควรมีประกันบำนาญเผื่อเป็นหลักประกันรายได้ในยามเกษียณอายุ เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เราอาจจะอายุยืนขึ้น เกินกว่าแผนการเงินที่เราวางไว้ ซึ่งประกันบำนาญจะเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงในจุดนี้ เพราะมีการจ่ายเงินคืนนานสุดถึงอายุ 90-99 ปี

  • ในแง่มุมของการวางแผนภาษี หลายท่านอาจจะมีคำถามว่า ควรจะลงทุนอะไรดีระหว่าง RMF SSF และประกันบำนาญ ซึ่งในประเด็นนี้อาจจะคำนึงถึงอายุของผู้ลงทุน หากอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป การซื้อ RMF และประกันบำนาญที่เริ่มจ่ายเงินบำนาญเมื่อครบ 55 ปี จะมีประโยชน์เรื่องการถือครองที่ีสั้นกว่า SSF ที่ต้องถือครอง 10 ปี และหากท่านใดที่ต้องการลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียวไม่ต้องการรับความผันผวนจากมูลค่าตลาด ประกันบำนาญจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินตอนนี้อยู่ในระดับต่ำกว่าผลตอบแทนของประกันบำนาญ

ควรซื้อประกันบำนาญตอนไหนดี?

การซื้อประกันบำนาญนั้นหากมองในมุมผลตอบแทนและจำนวนเงินผ่อนชำระต่อปี การทำประกันในวัยทำงานนั้นถือเป็นวัยที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากผลตอบแทนของประกันบำนาญขึ้นอยู่กับอายุและทุนประกัน นอกจากนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำ บริษัทประกันมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ เนื่องจากไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา  

มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงพอจะเห็นถึงความสำคัญของทางเลือกการวางแผนภาษี และวางแผนเกษียณอายุุด้วยประกันบำนาญกันพอสมควร ...แล้วคุณล่ะครับได้วางแผนภาพเกษียณอายุที่ดีแล้วหรือยัง ? 

 

======================================

เผยแพร่ครั้งแรกที่ Forbes 

บทความล่าสุด

หุ้นกลุ่ม Healthcare ทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีหุ้นโลก

โพสต์เมื่อ 24 เมษายน 2567

ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น จากแนวโน้มการเติบโตที่คาดว่าจะสูงกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตในระดับใกล้เคียงกัน ทำให้ปีนี้มีโอกาสสูงที่กลุ่ม Healthcare จะกลับมาทวงคืนตำแหน่ง Top Performer บนเวทีตลาดหุ้นโลก

อ่านต่อ >>

ปรับพอร์ตสร้างกำไร ขายหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น เบนเข็มลงทุน “หุ้น Asia ex Japan”

โพสต์เมื่อ 24 เมษายน 2567

ในปี 2024 เศรษฐกิจโลกภาพรวมเติบโตดีกว่าคาด โดยภูมิภาคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่จะเติบโตได้ดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และยังเป็นปีแห่งโอกาส

อ่านต่อ >>

จับจังหวะทำกำไร กับขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้น Asia

โพสต์เมื่อ 24 เมษายน 2567

ตลาดหุ้นเอเชีย (Asia ex Japan) ถือเป็นตลาดหุ้นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงไม่แพ้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในฝั่งของภาคการผลิตที่บริษัทยักษ์ใหญ่จากภูมิภาคเอเชีย ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรมการผลิตของโลก

อ่านต่อ >>