US Financials หุ้นเด่นกลุ่มใหม่ในยุค Trump 2.0

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

US Financials หุ้นเด่นกลุ่มใหม่ 800X420

นับตั้งแต่ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ออกมาเป็นที่ชัดเจนว่า Donald Trump เป็นผู้ชนะและกำลังจะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ตอบรับในเชิงบวกจากความคาดหวังของนักลงทุนที่มองว่า นโยบายของรัฐบาลชุดใหม่จะเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทในสหรัฐฯ ทั้งในแง่ของนโยบายการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล (Corporate tax) ลงจากเดิม 21% สู่ระดับ 15% นโยบายผ่อนคลายกฏเกณฑ์เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในสหรัฐฯ มากขึ้น (Deregulation) ตลอดจนนโยบายกีดกันการค้า (Tariffs) ซึ่ง Trump ได้ประกาศว่าพร้อมจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนเป็น 60% และประเทศอื่น ๆ เป็น 10% ซึ่งทิศทางการดำเนินนโยบายเหล่านี้ ได้ส่งผลให้เกิดการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของ Bond yield ระยะยาว สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคตยังคงขยายตัวแข็งแกร่งและผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง 

หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากบริบทแวดล้อมที่กล่าวไปข้างต้นมากที่สุด ก็คือ อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐฯ (US Financials) เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้ 

  1. ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) ที่กว้างขึ้น

ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยระยะยาวซึ่งเปรียบเสมือนรายได้จากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูง สะท้อนผ่าน Bond yield ระยะยาวที่ทรงตัวอยู่ใกล้เคียงระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่านโยบายของรัฐบาล Trump จะส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกาแข็งแกร่งขึ้นและอัตราเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ต้นทุนเงินฝากของธนาคารกลับมีแนวโน้มปรับตัวลดลง สอดคล้องกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed เมื่อรายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับ ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ปรับตัวลดลง จึงส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) ของกลุ่มธนาคารมีทิศทางที่กว้างขึ้นและนำไปสู่ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น ทั้งในรูปแบบของกำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) 

  1. นโยบาย Financial Deregulation ช่วยผ่อนคลายกฏเกณฑ์การทำธุรกิจของกลุ่มสถาบันการเงิน

หลังจากเกิดวิกฤต Subprime สถาบันการเงินในสหรัฐฯถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากกฏระเบียบต่างๆ รัฐบาลของ Trump มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายเหล่านี้ ด้วยการลดกฏระเบียบในภาคสถาบันการเงินลง ยกตัวอย่างเช่น ลดการตั้งสำรองเงินกองทุนฯลงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร รวมถึงผ่อนปรนกฏเกณฑ์การควบรวมกิจการ ซึ่งจะช่วยสร้าง Synergy ให้กับธุรกิจภายในอุตสาหกรรมการเงิน 

  1. หุ้นกลุ่ม US Financials ได้รับผลกระทบน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ จากการตอบโต้มาตรการกีดกันทางการค้า

สืบเนื่องจากการดำเนินนโยบายสงครามการค้ากับประเทศอื่นทั่วโลก สหรัฐฯก็เองอาจจะเผชิญกับการตอบโต้มาตรการกีดกันทางการค้าจากจีนและประเทศอื่น เช่นกัน ส่งผลให้บริษัทสหรัฐฯ ที่มีรายได้จากนอกประเทศเป็นสัดส่วนที่สูง เช่น กลุ่มเทคโนโลยี อาจได้รับผลกระทบจากการตอบโต้การกีดกันทางการค้า อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มสถาบันการเงินของสหรัฐฯ  มีรายได้จากต่างประเทศเพียงแค่ 28% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าบริษัทในดัชนี S&P500 ที่มีรายได้จากนอกประเทศสูงถึง 41% จึงมีความอ่อนไหวต่อประเด็นดังกล่าวที่ค่อนข้างจำกัด 

  1. US Financials เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการลดภาษีนิติบุคคล

BofA คาดการณ์ว่าการปรับลดภาษีนิติบุคคลจะส่งผลโดยตรงต่อกำไรบริษัทในดัชนี S&P500 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกราว 4% ทันทีที่มีผลบังคับใช้ แต่หุ้นบางอุตสาหกรรมมีโอกาสถูกปรับประมาณการณ์กำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นอีก 7% ในขณะที่ กลุ่มบริการด้านการสื่อสารและกลุ่มสถาบันการเงิน คาดว่าจะได้รับ Earnings Upgrade ในอัตราที่ใกล้เคียงกันราว 5% 

ทั้งนี้ หากพิจารณาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีตที่ Trump ดำรงตำแหน่งในสมัยแรกและมีการผลักดันกฏหมายลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 35% เป็น 21% ในปี 2017 พบว่า ตลาดหุ้นจะมีการตอบรับเชิงบวกใน 2 ช่วง คือ ช่วงที่ตลาดทราบผลการเลือกตั้งและช่วงหลังจากที่กฏหมายผ่านการเห็นชอบจากสภาคองเกรส ซึ่งการปรับขึ้นของตลาดในรอบหลังมักจะเป็นการปรับขึ้นรอบใหญ่ที่มากถึง 15% นำโดยหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายลดภาษีฯ ดังนั้น หุ้นกลุ่ม US Financials จึงยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นรอบใหญ่อีกครั้งในปี 2025 หลังจากที่กฏหมายผ่านสภา ในฐานะหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากมาตรการลดภาษีนิติบุคคลและเป็นหนึ่งในกลุ่มที่นักลงทุนควรมีอยู่ในพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ Outperform ตลาด ท่ามกลางบริบทที่เปลี่ยนไปในยุค Trump 2.0 

บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™

Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

บทความล่าสุด

ลงทุน Global Bond ให้ดี ปีนี้ต้องเลือก Bond ระยะกลาง-สั้น

เปิดปี 2568 ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ รวมถึงประเทศหลักส่วนใหญ่ยังเป็นทิศทางขาลง ช่วงนี้จึงนับเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนตราสารหนี้โลก แต่ต้องเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-สั้น เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปีนี้

อ่านต่อ >>

ฝ่ากระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง สู่โอกาสในปี 2025

ท่ามกลางการกลับมาของนโยบาย Trump 2.0 ปี 2025 ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับนักลงทุน โดยนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศไว้ระหว่างการหาเสียงที่โดยเน้นไปที่การลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นภาษีนำเข้า อาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดในสงครามการค้า ขณะเดียวกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2024 ยังคงส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินในวงกว้าง

อ่านต่อ >>

ความเข้าใจผิดกับ Copayment ของประกันสุขภาพ

หลังจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกหลักเกณฑ์สำหรับเพิ่มเงื่อนไขความคุ้มครองประกันสุขภาพให้มีเกณฑ์การจ่ายสินไหมที่กำหนดค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) หรือ ผู้ถือประกันสุขภาพต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลกับบริษัทประกันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ พร้อมกับการประกาศแนวทางยกเลิกประกันสุขภาพเหมาจ่ายจากสมาคมประกันวินาศภัยและสมาคมประกันชีวิต ซึ่งข่าวข้างต้นอาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ที่สนใจซื้อประกันสุขภาพหรือมีประกันสุขภาพอยู่แล้วว่าความคุ้มครองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก อีกทั้งยังอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้ทำประกันสุขภาพในระยะยาวด้วย

อ่านต่อ >>

ลงทุน Global Bond ให้ดี ปีนี้ต้องเลือก Bond ระยะกลาง-สั้น

เปิดปี 2568 ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ รวมถึงประเทศหลักส่วนใหญ่ยังเป็นทิศทางขาลง ช่วงนี้จึงนับเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนตราสารหนี้โลก แต่ต้องเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-สั้น เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปีนี้

อ่านต่อ >>

ฝ่ากระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง สู่โอกาสในปี 2025

ท่ามกลางการกลับมาของนโยบาย Trump 2.0 ปี 2025 ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับนักลงทุน โดยนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศไว้ระหว่างการหาเสียงที่โดยเน้นไปที่การลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นภาษีนำเข้า อาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดในสงครามการค้า ขณะเดียวกัน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2024 ยังคงส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินในวงกว้าง

อ่านต่อ >>

ความเข้าใจผิดกับ Copayment ของประกันสุขภาพ

หลังจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกหลักเกณฑ์สำหรับเพิ่มเงื่อนไขความคุ้มครองประกันสุขภาพให้มีเกณฑ์การจ่ายสินไหมที่กำหนดค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) หรือ ผู้ถือประกันสุขภาพต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลกับบริษัทประกันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ พร้อมกับการประกาศแนวทางยกเลิกประกันสุขภาพเหมาจ่ายจากสมาคมประกันวินาศภัยและสมาคมประกันชีวิต ซึ่งข่าวข้างต้นอาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ที่สนใจซื้อประกันสุขภาพหรือมีประกันสุขภาพอยู่แล้วว่าความคุ้มครองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก อีกทั้งยังอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้ทำประกันสุขภาพในระยะยาวด้วย

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า